William Stewart Halsted (1852-1922)
เกิดวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1852 ที่ New York City ประเทศสหรัฐอเมริกา
บิดาของเขาคือ William Mills Halsted, Jr. ส่วนมารดาของเขาคือ Mary Louisa Haines ธุรกิจของพวกเขา Halsted, Haines and Company ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี บ้านแสนสวยของเขาตั้งอยู่ใน Fifth Avenue
เขาเรียนที่บ้านจนถึงอายุสิบขวบจากนั้นครอบครัวก็ส่งเขาไปเรียนที่ Monson ในรัฐแมสซาชูเซตส์ซึ่งเขาไม่ชอบโรงเรียนนี้จึงหนีเรียน เขาจึงถูกส่งไปเรียนที่ Phillips Academy ใน Andover รัฐแมสซาชูเซตส์และจบในปี ค.ศ. 1869
ค.ศ. 1870 เขาเรียนต่อที่วิทยาลัยเยล เขามีความสามารถในด้านกีฬาแต่เรื่องการเรียนเขาไม่เคยเข้าห้องสมุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เขาจบ Bachelor of Arts จากวิทยาลัยเยลในปี ค.ศ. 1874 จากนั้นก็เข้าเรียนแพทย์ที่วิทยาลัยแพทย์และศัลยแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์กและจบในปี ค.ศ. 1877 ด้วยคะแนนเป็นอันดับต้น ๆ ของรุ่น
หลังจบแพทย์เขาเทรนต่อสาขาศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาล Bellevue ภายใต้ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน Frank Hastings Hamilton (1813-1886)
ต่อมาเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม ค.ศ. 1878 เขาเป็น house physician ที่โรงพยาบาลนิวยอร์ก จากนั้นเขาก็ไปศึกษาเพิ่มเติมที่ยุโรปกับศัลยแพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากมายได้แก่ Chiari, Zuckerkandl, Schneck, Billroth, Braun, Wölfler, Mikulicz, Kölliker, Stoehr, von Bergmann, Volkmann, Schede และ Esmarch
เขากลับมานิวยอร์กในปี ค.ศ. 1880 อย่างไฟแรงและปฏิบัติงานในหลายโรงพยาบาลด้วยกันเช่นโรงพยาบาล Bellevue และโรงพยาบาล Roosevelt
ค.ศ. 1882 เขาพัฒนาการผ่าตัดที่เรียกว่า Halsted radical mastectomy เพื่อรักษามะเร็งเต้านม
จุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1884 เขาได้อ่านรายงานของจักษุแพทย์ชาวอเมริกัน Karl Koller (1857–1944) ว่าการหยดสารละลายโคเคนที่ตาจะทำให้เกิดอาการชาซึ่งนับเป็นการใช้ยาชาเฉพาะที่ (Local anesthesia) เป็นครั้งแรก Halsted และเพื่อนร่วมงานจึงทดลองฉีดโคเคนที่เส้นประสาทเพื่อทำให้เกิดการชาเฉพาะที่พบว่าได้ผลดี แต่มันทำให้เขาติดโคเคนในเวลาต่อมา
เขาถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล Butler ใน Providence, Rhode Island ซึ่งใช้มอร์ฟีนในการเลิกโคเคน การรักษาสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1886 แล้วเขาก็ย้ายไปยังบัลติมอร์ แมรีแลนด์ เพื่อเข้าร่วมกับโรงพยาบาลที่กำลังจะเปิดใหม่คือโรงพยาบาลจอห์นฮอปกินส์ บุคลิกของเขาเปลี่ยนไปเป็นช้าลงและสุขุมมากขึ้น
ค.ศ. 1889 ขณะที่ Halsted จะทำการผ่าตัด บังเอิญพยาบาลหัวหน้าห้องผ่าตัดชื่อ Caroline Hampton (หลานสาวของพลเอก Wade Hampton III แห่ง South Carolina) เกิดแพ้น้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ล้างมือก่อนผ่าตัด เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการไปว่าจ้างให้บริษัทยาง Goodyear ผลิตถุงมือยางให้เธอใส่แทนซึ่งต่อมาพบว่าถุงมือยางช่วยลดอัตราการติดเชื้อหลังการผ่าตัดลงได้ ต่อมาวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1890 เขาก็แต่งงานกับ Hampton แต่ทั้งสองไม่มีบุตรด้วยกัน
ค.ศ. 1890 เขาเป็นหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์คนแรกของโรงพยาบาลจอห์นฮอปกินส์และเป็นคนแรกที่เริ่มวางระบบการเทรนศัลยศาสตร์ในสหรัฐฯ เขามีลูกศิษย์มากมายรวมถึง Harvey Williams Cushing (1869-1939) และ Walter Edward Dandy (1886–1946)
ค.ศ. 1892 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์และประสบความสำเร็จในการผูก subclavian artery เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1918 เขาได้รับเลือกเป็นประธานของ Maryland Medical Chirugical Society
ค.ศ. 1919 เขาเข้ารับการผ่าตัดถุงน้ำดีออก (cholecystectomy) โดย Richard Follis ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของเขา
ค.ศ. 1922 เขาเกิด choledocholithiasis และเข้ารับการผ่าตัดโดย Heuer กับ Mont Reid ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน หลังผ่าตัดเกิดภาวะแทรกซ้อนคือเลือดออกในทางเดินอาหารและปอดอักเสบเป็นเหตุให้เขาเสียชีวิตที่บัลติมอร์ในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1922
นอกจากผลงานดังกล่าวข้างต้น เขายังคิดค้น Halsted’s suture, Halsted’s sign และ Halsted’s law อีกด้วย ผลงานที่มากมายทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาศัลยศาสตร์ของอเมริกา
ตอนที่มีชีวิตอยู่ น้อยคนที่รู้ว่าแม้จะเลิกโคเคนได้แต่มันทำให้เขาติดมอร์ฟีนต่อเนื่องเป็นเวลาสี่สิบปีจนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1922 (เขาใช้ยาไม่เกินวันละ 180 mg และไม่แสดงอาการให้ใครเห็น)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น