วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

MMM(198) Gray's Anatomy


Henry Gray (1827-1861)

เกิดปี ค.ศ. 1827 ที่ Belgravia ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ค.ศ. 1845 เข้าเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาลเซนต์จอร์จใน Belgravia (ปัจจุบันอยู่ใน Tooting)  ฝีมือการชำแหละทางกายวิภาคศาสตร์ของเขาอยู่ในขั้นสุดยอด
ค.ศ. 1848 ขณะยังเป็นนักเรียนแพทย์เขาได้รับรางวัลที่มีการมอบสามปีครั้งของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์จากบทความเรื่อง  “The Origin, Connexions and Distribution of nerves to the human eye and its appendages, illustrated by comparative dissections of the eye in other vertebrate animals”
ค.ศ. 1852 เขาได้รับเลือกให้เป็น Fellow of the Royal Society (FRS)  ปีต่อมาก็ได้รับรางวัล Astley Cooper จากวิทยานิพนธ์เรื่อง “On the structure and Use of the Spleenหนังสือเล่มนี้มี 350 หน้าแบ่งออกเป็นสี่ส่วนคือ คัพภะวิทยา โครงสร้าง กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบ และสรีรวิทยา เขาว่าจ้างให้ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ Henry Vandyke Carter (1831–1897) วาดภาพในหนังสือกว่า 50 ภาพแต่ไม่ให้เครดิตแก่ Carter เลย
ค.ศ. 1855 เขาชวน Carter มาร่วมทำหนังสือกายวิภาคศาสตร์ราคาไม่แพงสำหรับนักเรียนแพทย์  ต้องเกลี้ยกล่อมกันข้ามปีเลยทีเดียวกว่า Carter จะตกลง (โดยไม่รู้ว่าจะโดนหักหลังอีก)  ในที่สุดหนังสือก็ได้รับการตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1858 โดย Carter เป็นผู้วาดภาพส่วน Gray รับผิดชอบในเนื้อหา  เนื่องจากเห็นคุณค่าของภาพวาดด้วยตอนแรกทางสำนักพิมพ์ตั้งใจจะให้ Carter เป็นผู้ประพันธ์ร่วม  แต่ Gray ปฏิเสธ  หนังสือจึงตีพิมพ์ในชื่อ “Anatomy: Descriptive and Surgical” โดยมี Gray เป็นชื่อหลักเพียงคนเดียว  หนังสือได้รับความนิยมจากนักเรียนแพทย์อย่างมากแต่ Gray ไม่แบ่งค่าลิขสิทธิ์ให้ Carter แม้แต่เพนนีเดียว
เขาเชี่ยวชาญด้านการเมืองด้วยเห็นได้จากการอุทิศตำราเล่มนี้แด่ศัลยแพทย์อาวุโสของโรงพยาบาลคือ Sir Benjamin Collins Brodie, 1st Baronet (9 มิ.ย. 1783 - 21 ต.ค. 1862) ซึ่งมีส่วนช่วยให้หน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าเร็ว  โดยได้รับตำแหน่งภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ เป็นผู้สาธิตและผู้บรรยายด้านกายวิภาคศาสตร์ของโรงพยาบาลเซนต์จอร์จ
ค.ศ. 1861 เขาเป็นหนึ่งในผู้ชิงตำแหน่งศัลยแพทย์ผู้ช่วย แต่จากการรักษาหลานชายที่ป่วยเป็นไข้ทรพิษจนหายแต่ตัวเองติดโรคร้ายนี้จนเสียชีวิตที่ Belgravia เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1861 ด้วยวัยเพียง 34 ปี  เวชปฏิบัติในเวลานั้นจะเผาทุกอย่างในห้องของเหยื่อไข้ทรพิษทำให้งานเขียนของเขาถูกเผาไปทั้งหมด
ศพของ Gray ถูกฝังอยู่ที่สุสาน Highgate แต่ตำรา Gray’s Anatomy ไม่ได้ถูกฝังตามกลับอยู่ยงคงกระพันจนล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 40 ตีพิมพ์ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2008 ฉลองครบรอบ 150 ปีของการตีพิมพ์  ภาพปกเป็นภาพ perisylvian language pathways ของสมองโดย Catani M, Jones DK, ffytche DK. Ann Neurol 2005;57(1):8-16.
หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นไบเบิลของกายวิภาคศาสตร์และเป็นตำราทางการแพทย์ที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุด

Henry Vandyke Carter (1831-1897)

เกิดวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1831 ที่เมืองฮัลล์ในยอร์กเชอร์ (Yorkshire) ประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายคนโตของศิลปิน Henry Barlow Carter
เบื้องต้นเขาเรียนที่ Hull Grammar School ก่อนจะย้ายไปกรุงลอนดอนเพื่อเข้าเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาลเซนต์จอร์จ 
เขาร่วมงานกับ Gray จนกระทั่งปี ค.ศ. 1858 ที่ตำรา Gray’s Anatomy ได้รับการตีพิมพ์ เมื่อถูกหักหลังเขาจึงสอบเข้าหน่วยแพทย์อินเดียและย้ายไปอยู่บอมเบย์ (ปัจจุบันคือมุมไบ) เพื่อรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์ที่วิทยาลัยแพทย์ Grant และอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเกษียณในปี ค.ศ. 1888 ก็ย้ายกลับมายัง Scarborough ในยอร์กเชอร์เหนือ
ค.ศ. 1890 เขาได้รับตำแหน่ง Honorary Surgeon to the Queen
เขาเสียชีวิตจากวัณโรคในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1897 ที่ Scarborough นั่นเอง


เอกสารอ้างอิง
Flatt AE. Happy Birthday, Gray’s Anatomy. Proc (Bayl Univ Med Cent) 2009; 22(4): 342–5.
                Hiatt Jr, Hiatt N. The forgotten first career of doctor Henry Van Dyke Carter. J Am Coll Surg 1995;181(5):464-6.


วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

MMM(197) Essex-Lopresti fracture


Peter Gordon Lawrence Essex-Lopresti (1916-1951)

เกิดในปี ค.ศ. 1916 ที่ประเทศอังกฤษ
เรียนแพทย์ที่โรงพยาบาลลอนดอนและจบในปี ค.ศ. 1937
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเขาเข้าร่วมในกองแพทย์ทหารบกหลวงโดยทำงานเป็นศัลยแพทย์ที่หน่วย airborne  เขารายงานการบาดเจ็บที่เกิดจากการโดดร่มมากกว่า 20,000 ครั้งของหน่วย Sixth British Airbone Division
หลังสิ้นสุดสงครามก็ไปเป็นศัลยแพทย์ที่ปรึกษาของโรงพยาบาลอุบัติเหตุเบอร์มิงแฮมและได้ปรับปรุงโปรแกรมการเทรนหลังจบปริญญาของที่นี่ 
เขาบรรยายผู้ป่วยที่มีการหักของ radial head ซึ่งเกิดร่วมกับการเคลื่อนที่ของ distal radio-ulnar joint  กระดูกหักชนิดนี้จึงเรียกว่า Essex-Lopresti Fracture (การหักของกระดูก radius ที่เกิดร่วมกับการเคลื่อนที่ของ distal radio-ulnar joint เรียกว่า Galeazzi Fracture) 
ค.ศ. 1951 เขาได้รับรางวัล Hunterian Professorship โดยบรรยาย Hunterian Lecture เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ในหัวข้อ “The Mechanism, Reduction Technique, and Results in Fractures of Os Calcis.
เขาคิดค้นวิธีรักษาการหักของกระดูก calcaneus ที่เรียกว่า Essex-Lopresti spike reduction และจำแนกการหักของกระดูก calcaneus ออกเป็น 2 ประเภทคือ extra-articular กับ intra-articular โดยประเภทหลังจำแนกย่อยเป็น type A: tongue type กับ type B: joint depression type  การจำแนกนี้มีชื่อว่า Essex Lopresti classification
เขาและภรรยามีบุตรด้วยกันสองคน  น่าเสียดายวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1951 เขาเสียชีวิตกะทันหันที่บ้านตัวเองด้วยวัยเพียง 35 ปี


เอกสารอ้างอิง
       Essex-Lopresti P. The mechanism, reduction technique, and results in fractures of the os calcis, 1951-52. Br J Surg 1952;39(157):395-419.
Mostofi SB. Who's who in orthopedics. Springer; 2005: 99-100.

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

MMM(196) Lovibond's angle & Schamroth's window test


John Locke “Jock” Lovibond (1907-1954)

เกิดวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1907 ที่ประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายของพันตรี J. L. Lovibond
เรียนที่โรงเรียน Oundle และเคมบริดจ์  ต่อมาได้รับทุนเข้าเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาล Middlesex ในปี ค.ศ. 1929 และจบในปี ค.ศ. 1932  หลังจบแพทย์ก็เทรนต่อที่โรงพยาบาล Middlesex, Westminster และ Brompton
ค.ศ. 1935 เขาหันมาสนใจในด้านหทัยวิทยาจนได้รับสิทธิจาก Medical Research Council ให้ทำงานที่ Cardiographic Department ได้ตลอดเวลา  โครงการหลักคือวิจัยเรื่อง hydrothorax ใน heart failure (ผลงานที่เป็นวิทยานิพนธ์นี้ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Heart เมื่อปี ค.ศ. 1941)
ค.ศ. 1937 เขาได้รับตำแหน่ง Medical Registrar ที่โรงพยาบาล Middlesex ขณะเดียวกันก็เป็น Assistant Physician ที่โรงพยาบาล King George ใน Ilford อีกด้วย
ค.ศ. 1938 เขาบรรยายมุมระหว่างเล็บกับโคนเล็บว่าในคนปกติจะน้อยกว่า 160 องศา ถ้ามากกว่า 180 องศาจะเป็นนิ้วปุ้ม (clubbing of fingers)  อาการแสดงนี้เรียกว่า Lovibond’s angle หรือ Lovibond profile sign
ค.ศ. 1939 เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสมทบของ Cardiac Society
ด้วยความเป็นทหารอยู่ในสายเลือดเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเขาก็เข้าร่วมทำงานในกองทัพ  หลังสิ้นสุดสงครามเขากลับมาพร้อมยศพันเอก 
ค.ศ. 1947 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกถาวรของ Cardiac Society
เขาเกือบจะพลาดทุกตำแหน่งงานแต่ก็ไม่ยอมท้อถอยจนในที่สุด ค.ศ. 1948 ถึงได้รับตำแหน่งที่เวสต์มินสเตอร์
วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1952 เขาแต่งงานกับ Mary Cole-Hamilton (1913-?) บุตรสาวของ George William Cole-Hamilton (1875-1946) กับ Katherine Edith Clinton-Baker (?-1960)
เขาเสียชีวิตกะทันหันในวันที่ 4 พฤษภาคม .ศ. 1954 ตรงกับวันเกิดปีที่ 47 พอดี


Leo Schamroth (1924-1988)

เกิดวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1924 ที่ประเทศเบลเยียม โดยครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้ตั้งแต่เขายังเป็นทารก
ค.ศ. 1948 จบแพทย์จากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแห่ง Witwatersrand ในนครโจฮันเนสเบิร์ก
ค.ศ. 1956 ได้รับตำแหน่งสตาฟที่โรงพยาบาล Baragwanath
ค.ศ. 1957 เขาตีพิมพ์ตำรา “An Introduction to Electrocardiography” เป็นครั้งแรก  โดยหนังสือมีเพียง 90 หน้าแต่เข้าใจง่ายและชัดเจนจึงเป็นที่นิยมของนักศึกษา  ร่ำลือกันว่าตำรานี้เป็นหนังสือที่ถูกขโมยไปจากห้องสมุดการแพทย์บ่อยที่สุดในโลก
ค.ศ. 1971 เขาตีพิมพ์ตำรา “The Disorders of Cardiac Rhythm” เป็นครั้งแรก (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1980)
ค.ศ. 1972 เขาชอบสอนโดยสอนในทุกที่ทุกเวลาจนได้รับรางวัลครูต้นแบบจากวิทยาลัยหทัยแพทย์อเมริกัน  ปีเดียวกันนั้นเองยังได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ ประธานฝ่ายการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่ง Witwatersrand และหัวหน้าแพทย์ของโรงพยาบาล Baragwanath อีกด้วย (ครองตำแหน่งนี้จนกระทั่งเกษียณในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1987)
ค.ศ. 1972 เขาตีพิมพ์ตำรา “The Electrocardiology of Coronary Artery Disease” เป็นครั้งแรก (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1984)
ตัวเขาเองป่วยเป็น infective endocarditis จนเกิดนิ้วปุ้ม (clubbing of finger)  ค.ศ. 1976 เขาบรรยายการทดสอบนิ้วปุ้มโดยการหันด้านหลังของนิ้วเดียวกันในข้างซ้ายและข้างขวามาประกบกัน  ในคนปกติจะมี Lovibond’s angle น้อยกว่า 160 องศา จะทำให้เกิดช่องว่างรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเหมือนเพชร (diamond-shaped window)  แต่ถ้าเป็นนิ้วปุ้มจะไม่เกิดช่องว่างดังกล่าวเพราะ Lovibond’s angle มากกว่า 180 องศานั่นเอง  อาการแสดงนี้เรียกว่า Schamroth's window test
เขาไม่มีหน่วยหทัยวิทยาของตัวเอง ไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นหทัยแพทย์แต่เป็นเพียงแพทย์ทั่วไปที่สนใจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ  เขาหลงใหลในสิ่งนี้มากจนกล่าวว่า "Denying me a look at this ECG is like with holding insulin from a diabetic."
เขาแต่งงานกับ Renee และมีบุตรชายด้วยกัน 4 คน ทั้งหมดเป็นแพทย์และหนึ่งในนั้น เป็นหทัยแพทย์คือ C. Colin Schamroth
Leo Schamroth เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 ที่นครโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้
ค.ศ. 1989 ตำราขนาด 4 เล่มของเขา The 12 Lead Electrocardogram” ได้รับการตีพิมพ์  สำหรับตำรา “An Introduction to Electrocardiography” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1991 โดยมี C. Colin Schamroth บุตรชายของเขาเองเป็นผู้ประพันธ์  ล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2013 โดยใช้ชื่อว่า “LeoSchamroth An Introduction to Electrocardiography”

เอกสารอ้างอิง
Bedford DE. J. L. Lovibond. Heart 1954; 16(4):465-7.
Lovibond JL. Diagnosis of clubbed fingers. Lancet. 1938:363-4.
Schamroth L. Personal experience. S Afr Med J 1976; 50(9): 297–300.

Scott MR. Leo Schamroth: his contributions to clinical electrocardiography – with reference to: incomplete left budle-branch block. Cardiovasc J Afr 2009; 20(1):28-9.

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

MMM(195) Guedel's airway


Arthur Ernest Guedel (1883-1956)

เกิดวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1883 ที่เคมบริดจ์ซิตี้ อินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
                เข้าเรียนชั้นประถมและมัธยมต้นที่อินเดียนาโพลิส  เนื่องจากทางครอบครัวไม่สามารถส่งเสียให้เรียนต่อชั้นมัธยมปลายได้เขาจึงต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองภายใต้การชี้แนะจากอาจารย์มัธยมปลาย  แม้จะไม่ได้เรียนมัธยมปลายอย่างเป็นทางการแต่เขาก็สอบผ่านเข้าวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งอินเดียน่าได้ในปี ค.ศ. 1903
                เขาจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1908 ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  จากนั้นเป็น intern ที่โรงพยาบาลในอินเดียนาโพลิสเป็นเวลาหกเดือน  ช่วงเวลานี้เองเขาได้รับมอบหมายงานเป็นคนให้ยาดมสลบอีเธอร์และคลอโรฟอร์มจึงสนใจในด้านนี้  เขาเปิดคลินิกทำเวชปฏิบัติในปี ค.ศ. 1909 และรับงานด้านวิสัญญีวิทยาของโรงพยาบาลในอินเดียนาโพลิส
                ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาทำงานเป็นวิสัญญีแพทย์ในกองทัพอเมริกันที่ฝรั่งเศส  เนื่องจากต้องสอนพยาบาลให้ดมยาสลบอีเธอร์ได้เขาจึงพัฒนาแบบฟอร์มจำแนกระยะของการดมยาสลบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากการระงับความรู้สึกที่ลึกเกินไป 
หลังสิ้นสุดสงครามและหนึ่งปีในมินนีแอโพลิสเขาก็กลับไปทำงานด้านวิสัญญีวิทยาที่อินเดียนาโพลิสตามเดิม  เขาออกแบบ oropharyngeal airway ที่เรียกว่า Guedel airway และปรับปรุงท่อช่วยหายใจแบบมี cuff
ค.ศ. 1928 เขาย้ายไปยังแคลิฟอร์เนียไม่นานก็ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์คลินิกด้านวิสัญญีวิทยา ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Southern California  ขณะเดียวกันนั้นก็ทำเวชปฏิบัติส่วนตัวที่ลอสแอนเจลิสด้วย
ค.ศ. 1937 เขาปรับปรุงระบบจำแนกระยะของ general anesthesia เป็นสี่ระยะรู้จักกันในชื่อ Guedel's classification  ปีนั้นเองตำรา “Inhalation Anesthesia” ของเขาก็ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก
น่าเสียดายที่ต้องเกษียณก่อนเวลาเนื่องจากปัญหาเรื่องสุขภาพ  หลังเกษียณไม่นาน ค.ศ. 1941 เขาก็เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับเหรียญรางวัล Hickman Medal ของราชสมาคมแพทย์แห่งลอนดอน (รางวัลนี้มีการมอบทุก 3 ปี Guedel เป็นคนที่ 3 ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้)
เขาแต่งงานกับ Florence Dorothy Guedel ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสองคนคือ Marian Guedel Hart และ Gretchen Guedel Shuman ผู้เสียชีวิตด้วยวัย 26 ปีในปี ค.. 1940  ส่วนตัว Guedel เองเสียชีวิตในวันที่ 10 มิถุนายน ค.. 1956 ที่ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เพื่อรำลึกถึงเขา ค.ศ. 1963 วิสัญญีแพทย์กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งก่อตั้ง Arthur E. Guedel Memorial Anesthesia Center ขึ้นที่ห้องสมุดวิทยาศาสตร์สุขภาพของศูนย์การแพทย์แคลิฟอร์เนียแปซิฟิค  โดยชื่อของศูนย์ตั้งโดยนักเภสัชวิทยาชาวอเมริกัน Chauncey Depew Leake (1896–1978) ผู้ค้นพบฤทธิ์ทางวิสัญญีวิทยาของไวนิลอีเธอร์

เอกสารอ้างอิง




. 

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(194) Harrison's sulcus


Edward Harrison (1766-1838)

เกิดที่ Lancashire ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1766
เขาเรียนที่เอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ ภายใต้ John Hunter (1728-1793) ศัลยแพทย์ชาวสกอต และที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ภายใต้ William Hunter (1718-1783) แพทย์ชาวสกอต
จบแพทย์ที่เอดินบะระในปี ค.ศ. 1784 จากนั้นก็ไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส  ค.ศ. 1789 ย้ายมาทำเวชปฏิบัติที่ Horncastle ใน Lincolnshire ที่นี่เขาก่อตั้ง Horncastle Dispensary
เขาพยายามจะปฏิรูปวิชาชีพแพทย์ในลอนดอนแต่ล้มเหลวจึงหันมาอุทิศชีวิตให้กับอาชีพแพทย์  เขาเริ่มสนใจในด้านกระดูกสันหลังตั้งแต่ประสบความสำเร็จในการรักษาลูกพี่ลูกน้องของภรรยาที่ทนทุกข์ทรมานจากความผิดปกติของกระดูกสันหลังจนหาย
ค.ศ. 1789 แพทย์ชาวอังกฤษผู้นี้บรรยายความผิดปกติของกระดูกซี่โครงซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคกระดูกอ่อน (rickets)  ปัจจุบันเรียกว่า Harrison's sulcus  
ค.ศ. 1827 เขาตีพิมพ์ Pathological and Practical Observations on Spinal Diseases เป็นครั้งแรก โดยฉบับพิมพ์ครั้งที่สองตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1831
เขาก่อตั้ง Lincolnshire Medical Benevolent Society และเป็นประธานทั้ง Royal Medical Society และ Royal Physical Society  นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของ Royal Society ด้วย
ค.ศ. 1837 เขาก่อตั้งสถานพยาบาลขนาด 6 เตียงสำหรับผู้ป่วยกระดูกสันหลังแห่งแรกในกรุงลอนดอนที่บ้านเขาเองใน Stanhope Street (ปัจจุบันกลายเป็นแฟลตสมัยใหม่)  แต่น่าเสียดายที่เพียงหนึ่งปีต่อมาเขาก็เสียชีวิตในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1838 ระหว่างเดินทางไป Marlborough ประเทศนิวซีแลนด์

เอกสารอ้างอิง
                Weiner MF, Silver JR. Edward Harrison and the treatment of spinal deformities in the nineteenth century. J R Coll Physicians Edinb 2008; 38:265-71.


วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(193) Ivemark syndrome


Bjorn Isaac Isaacson Ivemark (1925-2005)

เกิดปี ค.ศ. 1925 ที่เมือง Karlstad ประเทศสวีเดน
จบแพทย์จากสถาบันแคโรลินสกาในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนเมื่อปี ค.ศ. 1951
ค.ศ. 1955 พยาธิแพทย์ชาวสวีเดนผู้นี้รายงานโรคแต่กำเนิดที่หายากชนิดหนึ่งซึ่งมีความผิดปกติของม้ามและหัวใจโดยเขาเรียกว่า Right atrial isomerism  ปัจจุบันคือ asplenia-cardiovascular defect-heterotaxy anomalies หรือ Ivemark syndrome
ค.ศ. 1959 Ivemark และคณะบรรยายกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติ 3 อย่าง (triads) คือ pancreatic fibrosis, renal dysplasia และ hepatic dysgenesis  ปัจจุบันคือ Renal-Hepatic-Pancreatic dysplasia (RHPD) หรือเรียกว่า Ivemark syndrome เช่นกัน (เนื่องจากชื่อซ้ำกันตามหลักของเวลาอันแรกน่าจะเรียกว่า Ivemark syndrome I ส่วนอันหลังควรจะเป็น Ivemark syndrome II)
เขาเสียชีวิตในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ที่เมือง Carcassonne ประเทศฝรั่งเศส

เอกสารอ้างอิง
                Ivemark BI. Implications of agenesis of the spleen on the pathogenesis of conotruncus anomalies in childhood; an analysis of the heart malformations in the splenic agenesis syndrome, with fourteen new cases. Acta Paediatr Suppl 1955; 44 (Suppl 104): 7–110. 
 Ivemark BI, Oldfelt V, Zetterstrom R: Familial dysplasia of kidneys, liver, and pancreas: a probably genetically determined syndrome.Acta Pediatr Scand 1959; 48:1-11. OpenURL

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(192) Sister Joseph’s nodule


Julia Dempsey (1856-1939)

เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 ที่ Salamanca รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
ค.ศ. 1878 เธอเป็นแม่ชีที่ third order regular of Saint Francis, congregation of our Lady of Lourdes ในโรเชสเตอร์ รัฐมินนิโซตา จึงมีชื่อใหม่ว่า Sister Mary Joseph Dempsey ทำหน้าที่สอนหนังสือในหลายสถานที่
บ่ายวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1883 เกิดพายุทอร์นาโดถล่มโรเชสเตอร์ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก  Mother Marry Alfred Moes (1828-1899) และเหล่าซิสเตอร์แห่ง Saint Francis เสนอให้มีการสร้างโรงพยาบาลเพื่อรองรับผู้ป่วยในตอนใต้ของรัฐมินนิโซตาแก่ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน William Warrall Mayo (1819-1911) และบุตรชายสองคนคือ Charles Horace Mayo (1865-1939) กับ William James Mayo (1861-1939) ซึ่งทำเวชปฏิบัติอยู่ที่นั่น  ตอนแรกไม่เห็นด้วยแต่เมื่อได้เห็นความพยายามของ Mother Alfred ในที่สุดก็เห็นด้วยและร่วมกันสร้างโรงพยาบาลขึ้น  ตอนแรกใช้ชื่อว่า Saint Mary’s Hospital (ปัจจุบันตัด apostrophe ออกเหลือเป็น Saint Marys Hospital) 
โรงพยาบาล Saint Marys เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1889 โดย Mother Alfred เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล  หกสัปดาห์หลังเปิดทำการ Sister Mary Joseph ถูกเรียกตัวจากการสอนหนังสือที่รัฐเคนทักกีให้มาประจำอยู่ที่นี่  เธอเรียนรู้งานพยาบาลจาก Edith Graham (1867-1943) นางพยาบาลที่จบการศึกษาเป็นคนแรกในโรเชสเตอร์  เพียงสองเดือน Sister Mary Joseph ก็รับหน้าที่หัวหน้าพยาบาลแทน Edith Graham ซึ่งกลับไปเป็นวิสัญญีพยาบาลที่คลินิกของพี่น้อง Mayo ตามเดิม (Edith Graham แต่งงานกับ Charles Horace Mayo ในเวลาต่อมา)
ค.ศ. 1890 Sister Mary Joseph เป็นผู้ช่วยด้านศัลยกรรมคนที่หนึ่งของ William James Mayo  สองปีต่อมา กันยายน ค.ศ. 1892 เธอก็ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยโรงพยาบาลคนที่สองและครองตำแหน่งนี้จนกระทั่งเสียชีวิต
ค.ศ. 1906 เธอเปิดโรงเรียนพยาบาลของโรงพยาบาล Saint Marys โดยเปิดสอนแก่ทั้งซิสเตอร์และหญิงทั่วไป 
ค.ศ. 1915 เธอมีส่วนช่วยก่อตั้งสมาคมโรงพยาบาลคาทอลิกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา  โดยได้รับเลือกให้เป็นประธานของสมาคมคนแรก
ในระหว่างเตรียมหน้าท้องผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเธอเป็นผู้ชี้ให้ William James Mayo สนใจ nodule ที่สะดือจนนำไปสู่การรายงานในปี ค.ศ. 1928 ว่ามันเป็น metastasis จากมะเร็งช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน 
เธอเสียชีวิตในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1939 ที่โรเชสเตอร์นั่นเอง  เนื่องจากเธอตัดคำว่า Marry ออกจากชื่อในตอนหลัง  ค.ศ. 1949 ตำรา "Physical Signs in Clinical Surgery" ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 11 ของศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ Henry Hamilton Bailey (1894-1961) จึงตั้งชื่ออาการแสดงดังกล่าวว่า Sister Joseph’s nodule” (ไม่ใช่ Sister Marry Joseph’s nodule นะครับ)
ภายใต้การบริหารงานอันโดดเด่นของเธอสนับสนุนให้พี่น้อง Mayo พัฒนาโรงพยาบาลจนมีชื่อเสียงในระดับโลก (ปัจจุบันเป็นวิทยาเขตหนึ่งของ Mayo Clinic)  ตึกศัลยกรรมดั้งเดิมที่พี่น้อง Mayo ใช้ได้รับการตั้งชื่อว่า Joseph Building เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ (อีกสี่ตึกของโรงพยาบาลคือ Alfred Building, Domitilla Building, Marry Brigh Building และ Generose Building ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีกสี่คนคือ Mother Alfred, Sister Domitilla, Sister Marry Brigh และ Sister Generose ตามลำดับ)
แผนที่โรงพยาบาล http://www.mayoclinic.org/maps-rst/saintmarys.gif

เอกสารอ้างอิง
http://www.turner-white.com/pdf/hp_may01_sister.pdf

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(191) McNEILL-LOVE MEDAL


Robert “Robbie” John McNeill Love (1891-1974)

เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1891 ที่ Devonport ใน Devon ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายของผู้ก่อตั้งบริษัทคลังสินค้าที่ประสบความสำเร็จใน Plymouth และเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองตอนที่เขาเกิดด้วย
เขาจบแพทย์จากโรงพยาบาลลอนดอนในปี ค.ศ. 1914 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ไปทำงานในกองแพทย์ทหารบกหลวงที่ประเทศอินเดีย ตุรกี และเมโสโปเตเมีย โดยที่สุดท้ายเขาปฏิบัติงานเป็นศัลยแพทย์  เขากล่าวเสมอว่าเป็นหนี้ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ George Grey Turner (1877–1951) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการที่เมโสโปเตเมีย
หลังสิ้นสุดสงครามได้มาเป็น house surgeon ที่โรงพยาบาลลอนดอนและ R.S.O. ที่ Poplar  หลังจบการเทรนก็ทำงานเป็นผู้ช่วยคนที่หนึ่งที่โรงพยาบาลลอนดอน  เขาได้แรงบันดาลใจจากหลายท่านคือ Sir Hugh Lett (1876-1964), Malcolm Rigby และ Russell Howard  ช่วงนั้นศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ Henry Hamilton Bailey (1894–1961) ก็เป็นผู้ช่วยหัวหน้า fellow ที่โรงพยาบาลลอนดอน  Love และ Bailey ได้เป็น registrar ระหว่างปี ค.ศ. 1922-1925 แต่ทั้งสองไม่ผ่านการสอบสัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 1925 จึงไม่ได้รับตำแหน่ง consultant ที่โรงพยาบาลลอนดอน
อย่างไรก็ตามสตาฟของโรงพยาบาล Royal Northern เล็งเห็นความสามารถจึงเชิญทั้งคู่มาร่วมงานในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1930  ต่อมาทั้งสองได้ร่วมกันประพันธ์ตำรา “Bailey & Love Short Practice of Surgery” ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1932
Love มีส่วนร่วมในตำราน้อยมากเพราะยุ่งอยู่กับการเป็น Court of Examiners ของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์นานถึงหกปีซึ่งสุดท้ายได้เป็นประธาน  ต่อมาเขาได้รับเลือกเข้าสู่สภา (Council) ในปี ค.ศ. 1945 และเกษียณจากสภาในปี ค.. 1953  ก่อนจะเกษียณจากโรงพยาบาล Royal Northern ในปี ค.ศ. 1956
จากการเสนอของ Love ค.ศ. 1961 ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์จัดตั้งเหรียญรางวัลขึ้นเพื่อมอบแก่สตาฟศัลยกรรมที่ทำงานบริการยาวนานถึง 40 ปี  เรียกว่าเหรียญรางวัล McNEILL-LOVE MEDAL โดยเป็นเหรียญทองแดงด้านหนึ่งเป็นตราราชวิทยาลัยอีกด้านเป็นคำจารึก
เขาแต่งงานสองครั้ง  ครั้งแรกแต่งงานกับ Dorothy Ida Borland มีบุตรด้วยกันสองคน  บุตรชายเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรค Hodgkin  ส่วนบุตรสาว Caroline Anne McNeill Love (เกิด 6 .. 1937) จบพยาบาลและเริ่มทำงานที่โรงพยาบาลลอนดอนในปี ค.ศ. 1958 หนึ่งปีต่อมาเธอแต่งงานกับ Murray Newall Cox  ต่อมาเธอจบสังคมวิทยาและไปทำงานด้านสังคมจนได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Baroness Cox of Queensbury
Love เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1974 จากมะเร็งกระเพาะอาหารที่ผ่าตัดไม่ได้  ตำรา “Bailey & Love Short Practice of Surgery” ฉบับปรับปรุงครั้งสุดท้ายที่เขาได้มีส่วนร่วมคือฉบับพิมพ์ครั้งที่ 16 ตีพิมพ์ในปี ค.. 1975  ตำราเล่มนี้ล่าสุดเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 26 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2013

เอกสารอ้างอิง
McNeill Love Medal: Recognition of Long Service in the College. Ann R Coll Surg Engl 1961; 29(6): 389–91.

Murley R. Robert John McNeill Love 1891-1974. Ann R Coll Surg Engl 1986; 68(1): 26.

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

MMM(190) Perkins seminar room


William Harvey Perkins (1894-1967)

เกิดวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1894 ที่ฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นบุตรชายของ Penrose R. Perkins กับ Marion Harvey
หลังจบแพทย์จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์เจฟเฟอร์สัน มหาวิทยาลัยโธมัส เจฟเฟอร์สันในปี ค.ศ. 1917 ก็เป็น intern ที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย
ค.ศ. 1918 เข้าร่วมกองแพทย์ทหารบกสหรัฐฯไปปฏิบัติงานที่เมือง Tours ประเทศฝรั่งเศส
สมรสกับ Barbara Isabel Bond (18 พ.ค. 1896 – 12 ส.ค. 1982) เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1918 มีบุตรด้วยกันสองคนคือ H. Perkins และ B. J. Perkins
ค.ศ. 1924 – 1926 เป็น fellowship ที่มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์
แพทย์มิชชันนารีชาวอเมริกันผู้นี้ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์และดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์คนแรกของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลระหว่างปี ค.ศ. 1926 – 1930 ซึ่งได้ปรับหลักสูตรการผลิตแพทย์ให้มีความชัดเจนและส่งแพทย์ไทยไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศเพื่อกลับมาทำงานในแผนก  
ค.ศ. 1930 เดินทางกลับสหรัฐฯโดยไปเป็น Instructor ด้านแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Tulane
ค.ศ. 1931 ได้รับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันของมหาวิทยาลัย Tulane
ค.ศ. 1938 ตีพิมพ์ตำราชื่อ Cause and prevention of diseases
กันยายน ค.ศ. 1941 ย้ายไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเป็นคณบดีคนที่ 17 ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์เจฟเฟอร์สัน  แต่ด้วยปัญหาด้านสุขภาพจึงต้องเกษียณจากตำแหน่งคณบดีในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1950
Perkins เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1967 ที่ฟิลาเดลเฟีย
เพื่อเป็นเกียรติแก่ Perkins ค.ศ. 1977 ห้องสัมนาห้องหนึ่งในศูนย์ประชุม Kellow ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์เจฟเฟอร์สันได้รับการตั้งชื่อว่า Perkins seminar room

เอกสารอ้างอิง

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

MMM(189) Haagensen's grave signs

Cushman Davis Haagensen (1900-1990)

เกิดวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1900 ที่เมือง Hillsboro ใน Traill County รัฐนอร์ทดาโคตา ประเทศสหรัฐอเมริกา (ครอบครัวของเขาย้ายจากประเทศนอร์เวย์มายัง North Dakota ในทศวรรษ 1850)

จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ทดาโคตาและโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด จากนั้นเป็น intern ที่โรงพยาบาลเมืองบอสตันและเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาล New Haven เริ่มทำงานเป็นศัลยแพทย์เต้านมที่ศูนย์การแพทย์ Columbia Presbyterian ในนครนิวยอร์กตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 และทำผ่าตัดเป็นเวลานานจนถึงอายุ 75 ปี

ตอนจบแพทย์ใหม่ ๆ เขาไปเป็นแพทย์ประจำเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้ได้พบกับ Alice Munro Haagensen (1900-2006) บนเรือขณะเธอเดินทางกลับจากยุโรป เมื่อสิ้นสุดการเดินทางทั้งสองก็แต่งงานกัน มีบุตรสาวด้วยกันสองคนคือ Alice Gerard และ Karen Savage ครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ Palisades นิวยอร์กตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 โดยตอนแรกเช่าบ้านของครอบครัว Robbins อยู่ก่อนจะซื้อบ้านเป็นของตัวเองในปีต่อมา

Haagensen ร่วมกับศัลยแพทย์และพยาธิแพทย์ชาวอเมริกัน Arthur Purdy Stout (1885–1967) ทบทวนผลการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 568 รายที่รักษาแบบ radical mastectomy ที่ศูนย์การแพทย์ Columbia Presbyterian ระหว่างปี ค.ศ. 1915-1935 พบกลุ่มอาการแสดงที่ช่วยประเมินว่ามะเร็งเต้านมนั้นไม่สามารถผ่าตัดได้โดยหากผู้ป่วยมีอาการแสดงดังกล่าวจะมี 5 year cure 0% และเสี่ยง local recurrence 50% กลุ่มอาการแสดงนี้รู้จักกันในชื่อ Haagensen's grave signs ประกอบไปด้วย

1. Skin ulceration

2. Fixation of tumor to the chest wall

3. Axillary nodes > 2.5 cm in diameter

4. Edema of < 1/3rd of the skin of breast

5. Presence of fixed axillary nodes

ซึ่งนำไปสู่การตีพิมพ์ Columbia Clinical Classification System ในปี ค.ศ. 1943 (Haagensen CD, Stout AP: Carcinoma of the breast: Criteria of inoperability. Ann Surg 1943; 118: 85966.)

ค.ศ. 1948 ศูนย์การแพทย์ Columbia Presbyterian ก่อตั้งโรงพยาบาลสำหรับมะเร็งชื่อโรงพยาบาล Francis Delafield โดย Haagensen ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนแรก

ค.ศ. 1956 เขาตีพิมพ์ตำรา “Diseases of the Breast” เป็นครั้งแรกซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย (ต่อมามีการปรับปรุงในปี ค.ศ. 1971 และ 1986)

ค.ศ. 1958 เขาได้รับ honorary degree of Dr. of Science จากมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ทดาโคตา

ค.ศ. 1966 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณที่ศูนย์การแพทย์ Columbia Presbyterian

ค.ศ. 1968 เขาได้รับรางวัล Ernst W. Bertner Memorial จากศูนย์มะเร็ง MD Anderson มหาวิทยาลัยแห่งเท็กซัส

ค.ศ. 1989 เขาก่อตั้ง Haagensen Research Foundation เพื่อศึกษาโรคมะเร็งเต้านมโดยเฉพาะ (http://haagensenrf.org)

Haagensen เสียชีวิตที่บ้านจากโรคปอดอักเสบเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1990 ด้วยวัย 90 ปี

หลังจากสามีตายภรรยาของเขาก็ขายบ้านแล้วไปอาศัยอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของบุตรสาว Alice Gerard เป็นเวลา 12 ปีก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ Nyack Manor ใน Valley Cottage ต่อมาเธอนอนหลับแล้วเสียชีวิตไปเองในเดือนมกราคม ค.ศ. 2006 ด้วยวัย 105 ปี

Arthur Purdy Stout (1885-1967)

เกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1885 ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรชายคนที่สี่ของ Joseph และ Julia Frances (née Purdy) Stout

หลังจบจากโรงเรียน Pomfret ในปี ค.ศ. 1903 ก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเยลและจบ Bachelor of Arts ในปี ค.ศ. 1907 จากนั้นเดินทางไปต่างประเทศหนึ่งปีก่อนจะมาเรียนแพทย์ที่วิทยาลัยแพทย์และศัลยแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียโดยจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1912

เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านด้านศัลยกรรมที่โรงพยาบาลโรสเวลต์ในนครนิวยอร์ก ต่อมาได้รับตำแหน่ง Instructor ด้านศัลยกรรมที่วิทยาลัยแพทย์และศัลยแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ. 1914

ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาเป็นศัลยแพทย์สนามในกองทัพบกสหรัฐฯที่ประเทศฝรั่งเศส หลังสิ้นสุดสงครามก็กลับมาทำงานที่เดิมต่อโดยได้รับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1921 รองศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1928

แม้จะเทรนมาด้านศัลยกรรมแต่เขาก็สนใจด้านพยาธิวิทยาของสิ่งส่งตรวจทางศัลยกรรมด้วยจนได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการของห้องปฏิบัติการพยาธิวิทยาทางศัลยกรรมของศูนย์การแพทย์ Columbia Presbyterian ในช่วงทศวรรษ 1920-1950

ค.ศ. 1932 เขาตีพิมพ์ตำราเล่มแรกชื่อ Human Cancer ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้แก่เขา

ค.ศ. 1943 เขานำเสนอ Columbia Clinical Classification System ร่วมกับ Haagensen ดังกล่าวไปแล้ว

ค.ศ. 1947 มีการก่อตั้งชมรมพยาธิแพทย์ด้านศัลยกรรมใช้ชื่อว่า Arthur Purdy Stout Club เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา (ปัจจุบันองค์กรนี้ยังอยู่โดยเปลี่ยนชื่อเป็น Arthur Purdy Stout Society of Surgical Pathologists)

ค.ศ. 1947 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านศัลยกรรม นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1950 ยังได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านพยาธิวิทยาอีกด้วย

ค.ศ. 1951 เขาเกษียณจากวิทยาลัยแพทย์และศัลยแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (แต่ยังคงทำงานเป็นที่ปรึกษาจนถึงปี ค.ศ. 1954 ในตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านพยาธิวิทยาทางศัลยกรรม) จากนั้นก็ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการด้านพยาธิวิทยาของโรงพยาบาล Francis Delafield

ค.ศ. 1955 เขาร่วมกับอายุรแพทย์ชาวอเมริกัน Lemuel Whittington Gorham (1885-1968) นำเสนอบทความเกี่ยวกับโรคของกระดูกที่หายากชนิดหนึ่งซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Gorham’s disease หรือ Gorham-Stout syndrome (Gorham LW, Stout AP. Massive osteolysis (acute spontaneous absorption of bone, phantom bone, disappearing bone): its relation to hemangiomatosis. J Bone Joint Surg [Am] 1955;37-A:985-1004)

Stout เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งต่อมลูกหมากที่นิวยอร์กเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1967 ด้วยวัย 82 ปี

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

MMM(188) Swenson procedure

Orvar Swenson (1909-2012)

เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1909 ที่ Halsingborg ประเทศสวีเดน
เป็นบุตรคนที่สามของ Amanda กับ Carl Albert Swenson
บิดาของเขาเป็นมิชชันนารีและพาครอบครัวอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาและตั้งรกรากที่ Independence, Missouri ในปี ค.ศ. 1917  บิดาและมารดาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น  เขาและพี่ชาย Alvin จึงเริ่มทำธุรกิจผลิตอุปกรณ์จากไม้
ค.ศ. 1929 เขาจบมัธยมจาก William Chrisman High School ใน Independence, Missouri จากนั้นเข้าเรียนปริญญาตรีที่วิทยาลัย William Jewell ใน Liberty, Kansas, Missouri และจบการศึกษาในปี ค.. 1933  ธุรกิจประสบความสำเร็จด้วยดี (ปัจจุบันเป็นบริษัทระดับประเทศ) เขาและพี่ชายจึงเข้าเรียนแพทย์พร้อมกันที่โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดและจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1937
เขาเป็น intern ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ  ก่อนจะกลับไปยังบอสตันที่โรงพยาบาล Peter Bent Brigham และโรงพยาบาลเด็กบอสตันจนจบศัลยศาสตร์ทั่วไปและกุมารศัลยศาสตร์
ค.ศ. 1941 เขาแต่งงานกับ Melva Elizabeth Criley จาก Independence, Missouri ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสามคนคือ Wenda, Elsa และ Mimi
ค.ศ. 1945 เขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านกุมารศัลยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  ต่อมา ค.ศ. 1948 เขาค้นพบสาเหตุของโรค Hirschsprung’s disease และคิดค้นการผ่าตัดรักษาที่เรียกว่า Swenson procedure
ค.ศ. 1949 เขาย้ายไปเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาล Boston Floating และรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัย Tufts
ค.ศ. 1960 เขาย้ายไปเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาล Children’s Memorial ในชิคาโก
ค.ศ. 1973 เขาย้ายที่ทำงานอีกครั้งโดยย้ายไปยังมหาวิทยาลัยไมอามีและอยู่ที่นี่จนกระทั่งเกษียณในปี ค.ศ. 1978 
ค.ศ. 2000 เขากับภรรยาย้ายไปอยู่ที่  Bishop Gadsden Retirement Community, Charleston, South Carolina 
ภรรยาของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 2008 ตัวเขาเองเสียชีวิตในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2012
Swenson ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกอันยิ่งใหญ่ด้านกุมารศัลยศาสตร์และตำรา Swenson’s Pediatric Surgery ของเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นตำรามาตรฐานในด้านนี้
เอกสารอ้างอิง
                Raffensperger JG. Orvar Swenson, MD, 1909-2012. Journal of Pediatric Surgery 2012;47(6):1051-2.