วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

MMM(205) pioneer in study of human nervous system

Sir Charles Bell (1774-1842)

เกิดวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1774 ที่กรุงเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์
เป็นบุตรชายคนที่สี่ของบาทหลวง William Bell (1704-1779) เป็น Episcopalian minister ใน Church of Scotland กับภรรยาคนที่สอง Margaret Morice  [บุตรชายคนที่สามคือ George Joseph Bell (1770-1843) เป็นนักกฎหมาย  บุตรชายคนที่สองคือ John Bell (1763-1820) เป็นศัลยแพทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งศัลยศาสตร์หลอดเลือดยุคใหม่ร่วมกับศัลยแพทย์ชาวสกอต John Hunter (1728-1793) และศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศส Pierre-Joseph Desault (1738-1795)] 
เนื่องจากบิดาเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุ 5 ขวบบุคลิกภาพจึงได้รับอิทธิพลจากมารดาเป็นหลักคืออารมณ์อ่อนไหวและมีความสุนทรีแบบศิลปิน
เขาเรียนที่โรงเรียนมัธยมเอดินบะระโดยมารดาให้เรียนพิเศษด้านศิลปะกับจิตรกรชาวสกอต David Allan (1744-1796) ด้วย ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระตามแรงผลักดันของพี่ชาย  ขณะเป็นนักเรียนแพทย์เขาได้ช่วยพี่ชายสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ที่โรงเรียนกายวิภาคศาสตร์ของพี่ชายเอง  นอกจากนี้ยังตีพิมพ์ตำราด้านกายวิภาคศาสตร์อีกด้วย
ค.ศ. 1799 เขาจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระและได้รับเลือกเป็นสมาชิกของวิทยาลัยศัลยแพทย์เอดินบะระ  เริ่มทำงานเป็นศัลยแพทย์ที่ Royal infirmary โดยฝีมือด้านศัลยศาสตร์ไม่แพ้ด้านกายวิภาคศาสตร์เลย
เขาร่วมกับพี่ชายตีพิมพ์ตำรา “Anatomy of the human body” volume 3 และ 4 ในปี ค.ศ. 1802 และ 1803 ตามลำดับ โดย Charles รับผิดชอบในส่วนของเส้นประสาท อวัยวะรับความรู้สึกและอวัยวะภายใน
ผลงานด้านกายวิภาคศาสตร์ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ประจักษ์  ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้หลายคนในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอดินบะระเกิดความอิจฉาและกีดกันพี่น้อง Bell ไม่ให้ได้รับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยรวมถึงที่ Royal infirmary 
George Joseph Bell แนะนำให้พวกเขาไปเสี่ยงโชคที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พฤศจิกายน ค.ศ. 1804 ทั้งสองจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอน
หลังไม่ได้รับตำแหน่งถาวรในสถาบันใด ๆ ค.ศ. 1805 Charles ตัดสินใจซื้อบ้านเก่าที่ถนน Leceister ในจัตุรัส Leceister ก่อตั้งโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์เป็นของตัวเอง 
ค.ศ. 1807 John Shaw (1792-1827) จากเมือง Ayr ประเทศสกอตแลนด์ถูกส่งมาเรียนกับ Charles ที่กรุงลอนดอน  ต่อมาเป็นผู้ช่วยของ Charles ที่โรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์ Great Windmill Street
ค.ศ. 1811 Charles ตีพิมพ์ตำรา “An Idea of a New Anatomy of the brain” ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น มหากฎบัตรแห่งประสาทวิทยา (Magna Carta of Neurology)”  ในตำราได้กล่าวถึงกายวิภาคศาสตร์ของไขสันหลังว่ามี nerve root สองเส้นคือ dorsal กับ ventral เมื่อกระตุ้น ventral root จะเกิดกล้ามเนื้อกระตุกแต่เมื่อกระตุ้น dorsal root ไม่เกิดอะไรขึ้น (สาเหตุเป็นเพราะศึกษาในศพ)
วันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1811 เขาแต่งงานกับ Marion Shaw (น้องสาวของ Barbara Shaw ซึ่งเป็นภรรยาของ George Joseph Bell และเป็นพี่สาวของ John Shaw ลูกศิษย์ของเขานั่นเอง) หลังแต่งงานได้ย้ายไปอยู่ที่จัตุรัส Soho ทั้งสองไม่มีบุตรด้วยกัน 
ค.ศ. 1812 เขาใช้สินสอดทองหมั้นที่ภรรยายกให้ซื้อโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์ Great Windmill Street จากนักกายวิภาคศาสตร์ชาวสกอต James Wilson (1765-1821) [โรงเรียนนี้ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1767 โดยแพทย์ชาวสกอต William Hunter (1718-1783) ซึ่งเป็นพี่ชายของ John Hunter]
ค.ศ. 1814 เขาได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาล Middlesex
มิถุนายน ค.ศ. 1815 เกิดการรบที่สมรภูมิ Waterloo เมื่อทราบข่าววันที่ 30 มิถุนายนเขาก็รีบเดินทางไปบรัสเซลส์พร้อม John Shaw ในเวลา 8 วันเขาผ่าตัดตั้งแต่เช้าจนดึกรักษาผู้บาดเจ็บไปเป็นร้อยราย
ค.ศ. 1821 เขาบรรยายผู้ป่วยใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกโดยไม่ทราบสาเหตุ (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Bell’s palsy)  ปีเดียวกันนั้นเอง John Shaw ได้ไปเผยแพร่ผลงานของ Charles ที่ประเทศฝรั่งเศส
François Magendie (1783–1855) นักสรีรวิทยาชาวฝรั่งเศสที่ Bordeaux รับทราบงานของ Charles จาก John Shaw  ค.ศ. 1822 Magendie จึงทำการทดลองในลูกสุนัขที่ยังมีชีวิตพบว่าเมื่อกระตุ้น ventral root ของไขสันหลังจะเกิดการเคลื่อนไหวและเมื่อกระตุ้น dorsal root จะเกิดความเจ็บปวดจึงสรุปว่า ventral root เป็น motor function ส่วน dorsal root นั้นเป็น sensory function 
เนื่องจาก Charles ค้นพบกฎนี้คนแรกแต่เพียงครึ่งเดียว ส่วน Magendie ค้นพบกฎนี้อย่างสมบูรณ์แต่การทดลองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการทารุณสัตว์  ประกอบกับในศตวรรษที่ 19 อังกฤษและฝรั่งเศสมีความขัดแย้งทางการเมืองกันอยู่จึงพยายามตั้งชื่อกฎนี้เพื่อเป็นความภาคภูมิใจของชาติตน ท้ายที่สุดกฎนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Bell-Magendie law
นอกจากนี้เขายังมีผลงานอีกหลายอย่างอาทิ Bell's nerve (long thoracic nerve), Bell's phenomenon และ Bell's spasm
ค.ศ. 1824 เขาเป็นคนแรกที่ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์และศัลยศาสตร์ของวิทยาลัยศัลยแพทย์ในกรุงลอนดอน  
ค.ศ. 1826 เขาขายโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์ Great Windmill Street ให้กับศัลยแพทย์ชาวอังกฤษสองคนคือ Herbert Mayo (1796-1852) กับ Caesar Henry Hawkins (1798-1884)
ค.ศ. 1829 เขาเป็นคนแรกที่ได้รับเหรียญรางวัล Royal Medal ด้านกายวิภาคศาสตร์จาก Royal Society
ค.ศ. 1831 เขาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir จากพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 (1765-1837)
ค.ศ. 1835 เขาตอบรับคำเชิญไปเป็นศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ที่เอดินบะระ
เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1842 ที่ North Hallow ใน Worcestershire ประเทศอังกฤษ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาระบบประสาทของมนุษย์ (pioneer in study of human nervous system)

เอกสารอ้างอิง
Gijn JV. Charles Bell (1774-1842). J Neurol 2011;258:1189-90.
                Kazi RA, Rhys-Evans P. Sir Charles Bell: The artist who went to the roots!. J Postgrad Med 2004;50:158-9.
                Pearce JMS. Sir Charles Bell (1774-1842). J R Soc Med 1993;86:353-4.

                

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

MMM(204) Marcus Gunn pupil

Robert Marcus Gunn (1850-1909)

เป็นบุตรชายของเกษตรกร เกิดในปี ค.ศ. 1850 ที่ Norse stock ใน Dunnet, Sutherlandshire ประเทศสกอตแลนด์
เขาเรียนที่โรงเรียนของ Mr. Thomas Fraser ใน Golspie จากนั้นก็เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่ง St. Andrew และมหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระโดยได้เรียนด้านจักษุวิทยากับ William Walker รวมถึง Douglas Moray Cooper Lamb Argyll Robertson (1837-1909) จักษุแพทย์ชาวสกอต  นอกจากนี้เขายังเรียนรู้การใช้ De Wecker’s ophthalmoscope ด้วยตัวเอง
เขาจบ M.A. ในปี ค.ศ. 1871 และ M.B. กับ C.M. ในปี ค.ศ. 1873 จากนั้นก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลจักษุ Moorfields ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษร่วมกับ John Couper  หนึ่งปีต่อมาก็ย้ายไปทำงานที่กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบด้านจักษุภายใต้ Sir Edward Albert Sharpey-Schafer (18501935) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาชาวอังกฤษที่ University College
ธันวาคม ค.ศ. 1874 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 1875 เขาไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งเวียนนาภายใต้จักษุแพทย์ชาวออสเตรีย Eduard Jager von Jaxtthal (1818-1884) จากนั้นก็กลับมาทำงานร่วมกับ Couper ที่โรงพยาบาลจักษุ Moorfields
สิงหาคม ค.ศ. 1876 เขาได้รับตำแหน่ง Junior House-Surgeon ธันวาคมปีนั้นเองก็เป็น Senior House-Surgeon และได้รับ F.R.C.S. ในปี ค.ศ. 1882
สิงหาคม ค.ศ. 1883 ได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ผู้ช่วยที่โรงพยาบาลจักษุ Moorfields และได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1888
เขามีผลงานมากมายที่สำคัญคือค้นพบ Marcus Gunn pupil หรือ Relative Afferent Pupillary Defect (RAPD), Marcus Gunn jaw-winking phenomenon, Gunn's dots และ Gunn's sign
ค.ศ. 1898 ได้รับตำแหน่งรองประธานหน่วยจักษุวิทยาของสมาคมแพทย์อังกฤษและเป็นประธานในปี ค.ศ. 1906  หนึ่งปีต่อมาก็ได้รับตำแหน่งประธานสมาคมจักษุวิทยาและเป็นศัลยแพทย์อาวุโสของโรงพยาบาลจักษุ Moorfields
หลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยอยู่หลายเดือนในที่สุดเขาก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1909 ที่ Hindhead ใน Surrey ประเทศอังกฤษ

เอกสารอ้างอิง
                L JB. Obituary Robert Marcus Gunn. Br Med J 1909;1719-21.