วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MMM(132) Koplik's spot

Henry Koplik (1859-1927)


เกิดวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1859 ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ

ค.ศ. 1878 เขาจบ Bachelor of Arts จากวิทยาลัยแห่งนครนิวยอร์ก

จบแพทย์จากวิทยาลัยแพทย์และศัลยแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ. 1881 จากนั้นก็ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเบอร์ลิน ปราก และเวียนนา ก่อนจะกลับมาเป็นแพทย์ที่บ้านเกิดในปี ค.ศ. 1883

ค.ศ. 1887 เขาเป็นแพทย์ประจำที่ Good Samaritan Dispensary ก่อนจะไปเป็นกุมารแพทย์ที่โรงพยาบาล Mount Sinai เป็นเวลา 25 ปี

ค.ศ. 1896 ในบทความชื่อ “The diagnosis of the invasion of measles from a study of the exanthema as it appears on the buccal mucous membrane. เขาบรรยายอาการแสดงจุดสีแดงที่ตรงกลางเป็นสีขาวบริเวณเยื่อบุของกระพุ้งแก้มในผู้ป่วยโรคหัด แม้จะไม่ใช่คนแรกที่บรรยายอาการแสดงนี้แต่ปัจจุบันก็เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Koplik’s spot

เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคมกุมารแพทย์อเมริกาและเป็นประธานหนึ่งสมัย

เขาเสียชีวิตจากหลอดเลือดหัวใจตีบที่นิวยอร์กเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1927 ด้วยวัย 69 ปี

เอกสารอ้างอิง

Libman E. Obituary, Dr. Henry Koplik. Bull N Y Acad Med 1927 ; 3(11) : 667–71.

(http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2393700/?page=1)

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MMM(131) Fallopian tube & Fallopian canal

Gabriele Falloppio หรือที่รู้จักกันในชื่อละตินว่า Gabriele Fallopius (1523-1562)

เกิดในปี ค.ศ. 1523 ที่เมือง Modena ประเทศอิตาลี
เป็นบุตรชายของ Geronimo กับ Caterina Falloppio เนื่องจากครอบครัวยากจนและบิดาเสียชีวิตเขาจึงไปเป็น clergy และต่อมา ค.ศ. 1542 เป็น canon ที่โบสถ์ของเมือง Modena
เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นเขาก็เข้าเรียนแพทย์ที่ Modena ภายใต้ Niccolo Machella จากนั้นก็ไปเรียนที่ Ferrara ภายใต้ Antonio Musa Brassalova (1500-1555) แพทย์ชาวอิตาลีผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้นและจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1548 หนึ่งปีต่อมาก็ไปรับตำแหน่งหัวหน้าสาขากายวิภาคศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งปิซา
ค.ศ. 1551 เขาได้รับเชิญจาก Cosimo I de' Medici (1519–1574) ดยุคแห่งฟลอเรนซ์ให้ไปรับตำแหน่งหัวหน้าสาขากายวิภาคศาสตร์และศัลยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งปาดัว นอกจากนี้เขายังเป็นศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์อีกด้วย (พืชสกุล Fallopia ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา)
เขามีผลงานด้านการวิภาคศาสตร์มากมายที่สำคัญคือเป็นคนแรกที่บรรยายถึงลักษณะของท่อนำไข่จึงมีชื่อเรียกว่า Fallopian tubes นอกจากนี้ยังเป็นคนแรกที่บรรยายช่องทางที่ facial nerve ผ่านบริเวณ temporal bone เริ่มตั้งแต่ internal acoustic meatus ไปสิ้นสุดที่ stylomastoid foramen ช่องทางนี้เรียกว่า facial canal หรือ Fallopian canal ถือเป็นช่องของกระดูกที่มีเส้นประสาทผ่านเป็นทางยาวที่สุด
ค.ศ. 1556 สุขภาพของเขาเริ่มทรุด ค.ศ. 1560 เขาไปที่กรุงปารีสเพื่อเป็นแพทย์ประจำตัวของทูตแห่งเวนิส
ค.ศ. 1561 เขาตีพิมพ์ตำราเล่มเดียวในชีวิตของเขาชื่อ “Observationes anatomicae
เขาเป็นคนแรกที่ทดลองใช้ถุงครอบที่ปลายองคชาติแล้วใช้ริบบิ้นสีชมพูมัดไว้เพื่อป้องกันการติดโรคซิฟิลิสปรากฎว่าการทดลองในชาย 1,100 คนไม่มีใครเป็นโรคซิฟิลิสเลย

Falloppio เสียชีวิตจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1562 ที่ปาดัว เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสามผู้บุกเบิกกายวิภาคศาสตร์ยุคใหม่ (Founders of modern anatomy) โดยอีกสองท่านคือ Andreas Vesalius (1514-1564) และ Bartolomeo Eustachi (?-1547)

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MMM(130) Intra-aortic balloon pump (IABP)

Adrian Kantrowitz (1918-2008)


เกิดวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1918 ที่นิวยอร์กซิตี้ ประเทศสหรัฐฯ

บิดาของเขาเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่บร็องซ์ ส่วนมารดาเป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกาย ตอนอายุ 3 ขวบเขาบอกกับมารดาว่าโตขึ้นอยากจะเป็นแพทย์

ในวัยเด็กเขาและพี่ชายคือ Arthur Robert Kantrowitz (1913– 2008) ผลิตอุปกรณ์ตรวจคลื่นหัวใจจากเครื่องเล่นวิทยุเก่า

เขาจบปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในปี ค.ศ. 1940 เข้าเรียนแพทย์ที่วิทยาลัยแพทย์ Long Island (ปัจจุบันคือศูนย์การแพทย์ SUNY Downstate) และจบแพทย์จากมหาวิทยาลัย Western Reserve ในปี ค.ศ. 1943 (เป็นโครงการพิเศษเพื่อเร่งผลิตแพทย์เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง)

หลังจบแพทย์เขาเรียนสรีรวิทยาด้านหัวใจและหลอดเลือดกับ Carl John Wiggers เขาเป็น internship ที่โรงพยาบาลยิวแห่งบรุกลิน และสนใจด้านประสาทศัลยศาสตร์เห็นได้จากการตีพิมพ์บทความ "A Method of Holding Galea Hemostats in Craniotomies" ในปี ค.ศ. 1944 ซึ่งเสนอ clamp ชนิดใหม่สำหรับใช้ในการทำ craniotomy เขาเข้าร่วมในกองแพทย์ทหารบกสหรัฐฯ เป็นเวลาสองปีและออกจากกองทัพเมื่อปี ค.ศ. 1946 ในตำแหน่งพันตรี

เนื่องจากตำแหน่งด้านประสาทศัลยศาสตร์มีน้อยเขาจึงตัดสินใจไปเทรนด้านศัลยกรรมหัวใจแทนโดยเริ่มเป็น resident ด้านศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาล Mount Sinai ในแมนฮัตตัน ต่อมาก็เป็นสตาฟด้านศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาล Montefiore ในบร็องซ์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 จนถึง ค.ศ. 1955 จากนั้นก็ไปรับตำแหน่งที่ศูนย์การแพทย์ Maimonidesในบรุกลิน

วันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 เขาแต่งงานกับ Jean Rosensaft ซึ่งเป็นผู้บริหารของห้องปฏิบัติการด้านศัลยกรรมที่ศูนย์การแพทย์ Maimonides ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสามคนเป็นบุตรสาวสองคนคือ Niki (หทัยแพทย์ในบรุกลิน) และ Lisa (รังสีแพทย์ใน Newport Beach แคลิฟอร์เนีย) บุตรชายหนึ่งคนคือ Allen (ศัลยแพทย์ระบบประสาทใน Williamstown รัฐแมสซาชูเซตส์)

ค.ศ. 1951 เขาถ่ายภาพภายในหัวใจให้เห็นลิ้นหัวใจไมตรัลเปิด/ปิดขณะหัวใจเต้นเป็นครั้งแรก ค.ศ. 1961 เขาทำให้ผู้พิการช่วงล่างขยับขาได้โดยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อเป็นครั้งแรก

ทศวรรษ 1960 เขาพัฒนา implantable pacemaker รุ่นแรก ๆ ร่วมกับบริษัท General Electric และคิดค้น Left ventricular assist device (L-VAD) ร่วมกับ Arthur Robert Kantrowitz (1913– 2008) วิศวกรชาวอเมริกันซึ่งเป็นพี่ชายของเขานั่นเอง

ค.ศ. 1966 เขาเตรียมการที่จะผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในมนุษย์เป็นครั้งแรกแต่ไม่ผ่านคณะกรรมการจริยธรรมของโรงพยาบาล

ด้วยทฤษฎี “phase shift diastolic augmentationที่สองพี่น้อง Kantrowitz เสนอในปี ค.ศ. 1953 (ต่อมา Gorlin บัญญัติศัพท์เรียกว่า counterpulsation) พวกเขาได้คิดค้นอุปกรณ์ที่เรียกว่า Intra-aortic balloon pump (IABP) เป็นบอลลูนยาว 6 นิ้วซึ่งจะพองตัวเวลาหัวใจคลายตัวและแฟบเวลาหัวใจบีบตัวเพื่อช่วยในการไหลเวียนเลือด IABP ถูกใช้ครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1967 เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยหญิงวัย 45 ปี

วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1967 Christiaan Neethling Barnard (8 พ.ย. 1922 – 2 ก.ย. 2001) ศัลยแพทย์ชาวแอฟริกาใต้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในมนุษย์เป็นครั้งแรก สามวันต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1967 Kantrowitz ก็ได้รับอนุญาตให้ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้กับทารกแรกเกิดอายุ 19 วันที่เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดที่รุนแรงถึงชีวิต หัวใจบริจาคได้จากทารกแรกเกิดที่เป็น Anencephaly และได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง (เขานำทารกแช่น้ำเย็นจนหัวใจหยุดเต้นก่อนจะผ่าตัดนำหัวใจออกมา) นับเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจครั้งที่สองของโลกและเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในเด็กครั้งแรกของโลก แต่ผู้ป่วยมีชีวิต 6 ชั่วโมงครึ่งหลังผ่าตัด

เขาพูดถึงการถูกชิงตัดหน้าผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจไปก่อนอย่างอารมณ์ดีว่า "You can't always be first. Some races you lose, some you win."

นอกจากนี้เขายังคิดค้นเครื่องมือผ่าตัดที่เรียกว่า Kantrowitz forceps อีกด้วย

เนื่องจากที่ Maimonides เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กไม่เหมาะกับการทำวิจัยแบบ aggressive ค.ศ. 1970 เขาและทีมงานประกอบไปด้วยศัลยแพทย์ พยาบาล และวิศวกร 25 คนจึงย้ายไปยังโรงพยาบาล Sinai (ปัจจุบันคือโรงพยาบาล Sinai-Grace) ในดีทรอยต์ ทีมของเขาได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ค.ศ. 1972 เขาผ่าตัดใส่ LVAD ให้กับ Haskell Shanks ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเรื้อรังวัย 63 ปีและเป็นผู้ป่วยใส่ LVAD รายแรกที่สามารถออกจากโรงพยาบาลกลับไปยังบ้านได้แต่ 3 เดือนต่อมาก็เสียชีวิต

ค.ศ. 1983 เขาร่วมกับภรรยาก่อตั้งบริษัท LVAD Technology Inc. ผลิตอุปกรณ์ทางหัวใจและหลอดเลือดโดยเขาเป็นประธานส่วนภรรยาเป็นรองประธาน

ค.ศ. 2001 เขาได้รับรางวัล lifetime achievement จาก American Society for Artificial Internal Organs

เขาเสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ที่ Ann Arbor รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐฯ


Arthur Robert Kantrowitz (1913-2008)


เกิดวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1913

เขาจบมัธยมจากโรงเรียน Dewitt Clinton และจบปริญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ. 1947

ค.ศ. 1950 เขาคิดค้นเทคนิคการผลิตแหล่งกำเนิด supersonic สำหรับลำโมเลกุลซึ่งต่อมานักเคมีนำไปใช้ในงานวิจัยจนได้รับรางวัลโนเบล

เขาก่อตั้ง Avco-Everett Research Lab (AERL) ที่ Everett, Massachusetts ในปี ค.ศ. 1955

ทศวรรษ 1960 ที่ AERL เขาออกแบบ LAVD และ IABP ร่วมกับน้องชายคือ Adrian Kantrowitz (1918-2008) ศัลยแพทย์หัวใจชาวอเมริกัน

เขาเป็นผู้อำนวยการของ AERL จนกระทั่ง ค.ศ. 1978 ก็ไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่วิทยาลัย Dartmouth

ไม่กี่วันหลังจากน้องชายเสียชีวิตเขาก็เสียชีวิตจากโรคหัวใจในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ขณะไปเยี่ยมญาติที่นิวยอร์ก

MMM(129) Father of cryosurgery

การใช้ความเย็นในการรักษาความเจ็บปวดและการอักเสบมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์แล้ว

ค.ศ. 1819-1879 James Arnott (1797-1883) แพทย์ชาวอังกฤษบรรยายการใช้ความเย็น (เกลือผสมกับน้ำแข็ง) เพื่อทำลายเนื้อเยื่อเฉพาะที่เป็นคนแรก เขาใช้กับมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งผิวหนัง เพื่อบรรเทาอาการปวดและห้ามเลือด รวมถึงการใช้รักษาสิว อาการปวดศีรษะ และ neuralgia นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเพื่อให้ผิวหนังชา (Refrigeration analgesia)

ค.ศ. 1866 Benjamin Richardson แนะนำให้ใช้สเปรย์อีเธอร์แทนวิธีของ Arnott

ค.ศ. 1883 S. Openchowski ทดลองใช้ความเย็นกับสมองส่วน cerebral cortex ของสุนัขและใช้น้ำเย็นล้างช่องคลอดในผู้ป่วยปากมดลูกอักเสบเรื้อรัง

ค.ศ. 1891 Redard แนะนำให้ใช้ ethyl chloride แทนสเปรย์อีเธอร์

ค.ศ. 1892 James Dewar นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษประดิษฐ์ flask สุญญากาศเพื่อเก็บแก๊สเหลว

ค.ศ. 1895 Von Linde ผลิตอากาศเหลว (liquid air) ออกจำหน่าย

ค.ศ. 1899 Campbell White ที่นิวยอร์กรายงานการใช้อากาศเหลวในการรักษาโรคต่าง ๆ เป็นคนแรก

ค.ศ. 1907 William A. Pusey แนะนำการใช้คาร์บอนไดออกไซด์เย็น (carbon dioxide snow) เพื่อรักษาโรคทางผิวหนังแทนการใช้เกลือผสมกับน้ำแข็งและเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา

ค.ศ. 1911 Hall-Edwards คิดค้นตัวเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Hall-Edwards carbon dioxide collector)

ค.ศ. 1950 H. Allington เป็นคนแรกที่เริ่มใช้ไนโตรเจนเหลวในการรักษาโรคทางผิวหนัง

ค.ศ. 1951 J. B. Arnott บรรยายการใช้ความเย็นในการรักษามะเร็ง

ค.ศ. 1955 J. W. Wilson นำ Freons มาใช้ทำให้ผิวหนังกระชับก่อนทำ dermabrasion

ค.ศ. 1960 Irving S. Cooper คิดค้น probe ไนโตรเจนเหลวและนำมาใช้กับสมองมนุษย์ในการทำ cryogenic thalamotomy เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1962 เป็นการจุดประกายการผ่าตัดโดยใช้ความเย็น (cryosurgery) หลังจากนั้นความเย็นก็ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการผ่าตัดด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

ค.ศ. 1965 D. Torre พัฒนาสเปรย์ไนโตรเจนเหลว สองปีต่อมา S. Zacarian ก็พัฒนาสเปรย์ไนโตรเจนเหลวแบบใช้มือถือได้เรียกว่า Kryospray

ค.ศ. 1975 Torre อาศัยหลัก Joule-Thomson effect พัฒนา argon gas system ขึ้นมา

ค.ศ. 1985 Zacarian คิดค้น probe ทองแดงใช้รักษารอยโรคที่อยู่ลึก

ค.ศ. 2001 Nikolai N. Korpan (เกิด 24 ธ.ค. 1956) ศัลยแพทย์ชาวยูเครนตีพิมพ์หนังสือ “Basics of Cryosurgery” ซึ่งเป็นหนังสือที่สำคัญเล่มหนึ่งในด้านนี้


Irving S. Cooper (born 1922)


เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1922 ที่แอตแลนตาซิตี้ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐฯ

เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัย George Washington และจบในปี ค.ศ. 1945 จากนั้นก็เป็น internship ที่โรงพยาบาลนาวาสหรัฐฯ เป็นเวลาหนึ่งปี

ค.ศ. 1948-1951 เขาเทรนด้านประสาทศัลยศาสตร์ที่ Mayo Clinic โรเชสเตอร์ รัฐมินนิโซตา

ค.ศ. 1952 เขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กโดยเริ่มทำงานทางคลินิกที่โรงพยาบาล Belleview ในนิวยอร์กซิตี้y

ค.ศ. 1952 Arthur Earl Walker (1907-1995) ศัลยแพทย์ระบบประสาทชาวแคนาดาที่จอห์นฮอปกินส์รายงานการทำ pedunculotomy ในการรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ปีนั้นเองขณะ Cooper กำลังทำหัตถการเดียวกับ Walker บังเอิญไปตัดหลอดเลือดแดง anterior choroidal (AChA) พบว่าหลังผ่าตัดผู้ป่วยกลับมีอาการดีขึ้นมาก เขาจึงริเริ่มทำการผ่าตัดผูก AChA เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

ค.ศ. 1954 เขาไปก่อตั้งภาควิชาประสาทศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาล St. Barnabas ใน Bronx เขาอยู่ที่นี่จนถึงปี ค.ศ. 1977 และพัฒนาเทคนิคการรักษาความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวมากมาย

ค.ศ. 1955 เขาทำการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปทำลาย medial globus pallidus (chemopallidotomy) เพื่อรักษาอาการสั่นของผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ต่อมาเมื่อพบว่าสัญญาณหลักจาก medial globus pallidus ถูกส่งไปยัง ventrolateral thalamus เขาจึงมุ่งไปที่การทำ thalamotomy

ค.ศ. 1960 เขาคิดค้น probe ไนโตรเจนเหลวและนำมาใช้กับสมองมนุษย์ในการทำ cryogenic thalamotomy เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1962 จากนั้นมันก็ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการผ่าตัดด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

ค.ศ. 1973 เขาเริ่มทำการผ่าตัดฝังตัวกระตุ้นสมองส่วน Cerebellum

ค.ศ. 1977 ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์วิจัยด้านประสาทกายวิภาคศาสตร์ที่วิทยาลัยแพทย์นิวยอร์กใน Valhalla นิวยอร์ก และได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการของหน่วยสรีรประสาทศัลยศาสตร์ของศูนย์แพทย์ Westchester County

ค.ศ. 1979 เขาเริ่มการผ่าตัดทำ Deep brain stimulation (DBS)

เขายังคงทำงานจนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1985 และได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง cryosurgery


สำหรับ Cooper's fascia นั้นเป็นของอีกคนนะครับ