วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

MMM(216) Father of forensic medicine in Thailand


ศาสตราจารย์นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน (พ.ศ. 2455-2513)

 

                เกิดในปี พ.ศ. 2455

                พ.ศ. 2477 จบแพทยศาสตร์บัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ปัจจุบันคือคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล)

                หลังจบการศึกษาไปเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาอยู่หนึ่งปีก่อนจะลาออกไปสมัครเข้ารับราชการในกรมตำรวจ (แผนกแพทย์กองกลาง) ได้รับพระราชทานยศร้อยตำรวจเอก

                พ.ศ. 2481 ได้รับทุนจากมูลนิธิอะเล็กซานเดอร์ ฟอน ฮุมโบลดท์ (Alexander von Humboldt) ไปศึกษาต่อที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีจนจบปริญญาแพทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Dr. med.) จากมหาวิทยาลัยฮัมบูร์กในปี พ.ศ. 2483  จากนั้นได้ฝึกอบรมและดูงานด้านนิติเวชศาสตร์ (Forensic medicine) ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลินอีกระยะหนึ่งก่อนเดินทางกลับประเทศไทย

คำว่า Forensic medicine มาจากภาษาละติน “forensis” ที่แปลว่า “ที่ตกลงข้อพิพาททางกฎหมาย” กับคำว่า “medicine” ที่แปลว่า “การแพทย์” มีสอนนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่ 4 หลักสูตรแพทย์ประกาศนียบัตรของโรงเรียนราชแพทยาลัย (ปัจจุบันคือคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล) เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2456  เข้าใจว่าพระยาดำรงแพทยาคุณ [ชื่น พุทธิแพทย์ (พ.ศ. 2424-2496)] เป็นอาจารย์สอนท่านแรกและเป็นผู้บัญญัติศัพท์เรียกวิชานี้ว่า “นิติเวชวิทยา”  แต่จากความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ (Rockefeller foundation) ในการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาแพทย์ให้ได้มาตรฐานชั้นปริญญาในปี พ.ศ. 2464 วิชานี้ไม่ปรากฎอยู่ในหลักสูตร (แต่มีหลักฐานว่าพระยาดำรงแพทยาคุณยังคงสอนวิชานี้จนถึงปี พ.ศ. 2470)

                เมื่อนายแพทย์สงกรานต์กลับเมืองไทยได้เข้ารับราชการเป็นอาจารย์โทในแผนกวิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลในปี พ.ศ. 2484 โดยได้รับมอบหมายให้สอนในสาขาวิชาปาราสิตวิทยา  ขณะเดียวกันอาจารย์ได้พยายามชักจูงให้คณะฯเห็นความสำคัญของวิชานิติเวชวิทยาจนในที่สุดปี พ.ศ. 2487 ก็ได้รับอนุญาตให้สอนวิชานี้แก่นักเรียนแพทย์ชั้นปีที่ 4 สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ในภาคเรียนที่ 3 (แต่เป็นการเรียนนอกหลักสูตรจึงไม่มีการสอบ) นับได้ว่าเป็นแพทย์ปริญญารุ่นแรกที่ได้เรียนนิติเวชวิทยา 

                ในรัฐบาลสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2440-2507) ได้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” ขึ้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 และโอนคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นคณะหนึ่งในสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งนี้

                มิถุนายน พ.ศ. 2489 เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทยคือกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล  เมื่อมีการตั้งกรรมการแพทย์ชันสูตรพระบรมศพ  อาจารย์สงกรานต์เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการรวมถึงนายแพทย์สุด แสงวิเชียร หัวหน้าแผนกวิชากายวิภาคศาสตร์  เพื่อพิสูจน์ให้กระจ่างชัดอาจารย์สงกรานต์เป็นผู้เสนอแผนการทดลองยิงศพต่อคณะกรรมการฯและได้รับอนุญาตให้ทำการทดลองตามข้อเสนอ  นับเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อสนับสนุนงานทางนิติเวชวิทยาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย (ปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ตรวจพระบรมศพยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)

                จากผลงานดังกล่าวคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลเห็นความสำคัญของวิชานิติเวชวิทยาขึ้นมาบ้างจึงให้มีการสอบไล่วิชานี้ในปีการศึกษา 2489 แต่ไม่ได้นำคะแนนไปรวมในการสอบเพื่อปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต  ต่อมามีการสอนวิชานี้ให้กับนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่ 4 ในภาคเรียนสุดท้ายเพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงและมีการสอบไล่โดยนำคะแนนไปรวมกับวิชารังสีวิทยา  เมื่อมีการตั้งสาขาวิชานิติเวชวิทยาขึ้นมาในการสอบไล่ถือว่าวิชานี้เป็นวิชาย่อยหนึ่งเช่นเดียวกับจักษุวิทยาและรังสีวิทยาโดยถ้าสอบตกในวิชาย่อยเหล่านี้สองวิชามีผลเท่ากับตกวิชาใหญ่หนึ่งวิชา

                นอกจากนี้อาจารย์สงกรานต์ยังได้รับเชิญไปสอนในสถาบันการศึกษาอื่นด้วยโดยเริ่มไปสอนนักเรียนนายร้อยตำรวจในปี พ.ศ. 2493 โรงเรียนสืบสวนสอบสวนกรมตำรวจในปี พ.ศ. 2495 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี พ.ศ. 2498 อบรมพนักงานอัยการและผู้ช่วยผู้พิพากษาในปี พ.ศ. 2499 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี พ.ศ. 2500 และยังได้รับเชิญไปสอนที่สถาบันต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนวาระสุดท้ายของชีวิต (เนื่องจากงานด้านนิติเวชวิทยามากขึ้นอาจารย์จึงเลิกสอนวิชาปาราสิตวิทยาในปี พ.ศ. 2494)

                เนื่องจากงานเกี่ยวข้องกับกฎหมายอาจารย์จึงไปสมัครเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนได้ปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิตในปี พ.ศ. 2495  ปีเดียวกันนี้เองกรมตำรวจได้ก่อตั้งโรงพยาบาลตำรวจขึ้นอาจารย์จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชวิทยา

                ขณะนั้นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยคดีและศพเป็นประจำคือโรงพยาบาลกลาง  โรงพยาบาลศิริราชไม่รับผู้ป่วยคดีไว้รักษาพยาบาล  ผู้ป่วยที่ตายจึงไม่ใช่ศพคดีที่ต้องชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย  วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2495 อาจารย์สงกรานต์จึงทำบันทึกถึงหัวหน้าแผนกพยาธิวิทยาเสนอให้โรงพยาบาลศิริราชรับศพที่มีคดี  วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2495 นายแพทย์ชัชวาลย์ โอสถานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราชในขณะนั้นจึงทำหนังสือถึงอธิบดีกรมตำรวจแจ้งว่าทางโรงพยาบาลยินดีช่วยเหลืองานชันสูตรพลิกศพ  ในระยะแรกพนักงานสอบสวนยังส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลศิริราชเพียงเล็กน้อย  อาจารย์สงกรานต์จึงทำบันทึกขอความช่วยเหลือไปถึงผู้บังคับการโรงเรียนสืบสวนสอบสวนกรมตำรวจซึ่งอาจารย์ได้รับเชิญให้ไปสอนอยู่  จากนั้นมาโรงพยาบาลศิริราชก็ได้รับศพมาชันสูตรเพิ่มขึ้นทุกปี

                ต้นปี พ.ศ. 2496 แผนกวิชาพยาธิวิทยารับแพทย์ประจำบ้านสาขานิติเวชวิทยา 1 คน  ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2496 คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลได้ออกระเบียบการรับชันสูตรผู้ป่วยคดีจึงนับได้ว่าเป็นการให้บริการด้านนิติเวชวิทยาโดยสมบูรณ์ 

                พ.ศ. 2499 อาจารย์ทำหนังสือถึงคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะให้พิจารณางานด้านนิติเวชวิทยาเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง  ต่อมา พ.ศ. 2500 คณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะมีมติให้นิติเวชวิทยาเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่งและแต่งตั้งให้อาจารย์เป็นหนึ่งในอนุกรรมการฯสาขานิติเวชวิทยา

                เดิมนิติเวชวิทยาเป็นเพียงหนึ่งในห้าสาขาวิชาของแผนกวิชาพยาธิวิทยา (อีกสี่สาขาวิชาคือ พยาธิวิทยา บัคเตรีวิทยา ปาราสิตวิทยา และพยาธิวิทยาคลินิก) แต่เนื่องจากงานนิติเวชวิทยาเพิ่มขึ้นทุกปีและมีจำนวนอาจารย์เพิ่มขึ้น  วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 จึงได้รับการจัดตั้งเป็นแผนกวิชานิติเวชวิทยาแห่งแรกของไทย  โดยศาสตราจารย์นายแพทย์สงกรานต์รับตำแหน่งหัวหน้าแผนกวิชาคนแรกได้พัฒนางานในทุก ๆ ด้านรวมถึงจัดตั้งพิพิธภัณฑ์นิติเวชวิทยาอีกด้วย (ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน)

พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” เป็น “มหาวิทยาลัยมหิดล”  คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล” และเปลี่ยนคำว่า “แผนกวิชา” เป็น “ภาควิชา” (ต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2514 ภาควิชานิติเวชวิทยาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ภาควิชานิติเวชศาสตร์” เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน)

ศาสตราจารย์นายแพทย์สงกรานต์ เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2513  จากผลงานการบุกเบิกด้านนิติเวชศาสตร์ในประเทศไทยจึงสมควรได้รับการยกย่องเป็น “บิดาแห่งนิติเวชศาสตร์ของไทย (Father of forensic medicine in Thailand)

 

เอกสารอ้างอิง

                สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่ม 9