วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(special) Paneth cell

Joseph Paneth (1857-1890)

เกิดวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1857 ที่ประเทศออสเตรีย

เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเบรสเลาและมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนา

ค.ศ. 1872 Gustav Albert Schwalbe (1844-1916) แพทย์ชาวเยอรมันบรรยายเซลล์ที่มีเม็ดแกรนูลในลำไส้เล็กที่ก้นของ Crypts of Lieberkuehn 16 ปีต่อมา ค.ศ. 1888 Paneth ศึกษาลักษณะของเซลล์เหล่านี้อย่างละเอียดจึงได้รับการตั้งชื่อว่า Paneth cells

เขาแต่งงานกับ Sophie Schwab และมีบุตรชายด้วยกัน 3 คน คนกลางคือ Friedrich Adolf Paneth (1887-1958) ต่อมากลายเป็นนักเคมีที่มีชื่อเสียง

เขาเสียชีวิตจากวัณโรคเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1890 ด้วยวัยเพียง 32 ปี

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(178) Crypts of Lieberkuehn

Johann Nathanael Lieberkuehn (1711-1756)

เกิดวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1711 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

เป็นบุตรชายของช่างทอง Johannes Christianus Lieberkuehn

เริ่มแรกเขาเรียนเทววิทยาตามความหวังของบิดาโดยเรียนที่ Halle Magdeburg Gymnasium ก่อนจะเข้าเรียนคณิตศาสตร์ กลศาสตร์ และปรัชญาธรรมชาติที่ academy ใน Jena

ด้วยอิทธิพลของ Georg Erhardt Hamberger (1697-1755) แพทย์ผู้มาเป็นนักคณิตศาสตร์โดยไม่ตั้งใจทำให้ Lieberkuehn หันไปศึกษาเคมี กายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยากับแพทย์ชาวเยอรมัน Hermann Friedrich Teichmeyer (1686-1744) และ Johann Adolph Wedel (1675-1747)

Lieberkuehn ออกจาก Jena ในปี ค.ศ. 1733 แล้วไปที่ Rostock เพื่อไปสมัครเป็นพระร่วมกับพี่ชาย แต่ Johann Gustav Reinbech (1683-1741) นักเทววิทยาชาวเยอรมันรับรู้ถึงทัศนคติด้านวิทยาศาสตร์ของเขาจึงพาไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ Friedrich Wilhelm I (1688-1740) ซึ่งทรงปลดปล่อยเขาจากอาชีพนี้เพื่อจะได้อุทิศเวลาทั้งหมดแก่วิทยาศาสตร์และการแพทย์ (บิดาของ Lieberkuehn เสียชีวิตในเวลาเดียวกันนั้นเอง)

เขากลับไปยัง Jena ในปี ค.ศ. 1735 และเดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมที่สถาบันอื่น ๆ ด้วยรวมถึง Imperial Natural Sciences Academy ใน Erfurt นอกจากนี้ยังไปเรียนแพทย์เพิ่มเติมที่ไลเดนภายใต้ Hermann Boerhaave (1668-1738), Bernard Siegfrid Albinus (1697-1770),Hieronymus David Gaubius (1705-1780) และ Gerard van Swieten (1700-1772) จนจบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งไลเดนในปี ค.ศ. 1739 จากนั้นไปอยู่กรุงลอนดอนไม่นานก่อนจะมาตั้งรกรากทำงานเป็นแพทย์ที่กรุงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1740

ค.ศ. 1740 เขาประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์แสงอาทิตย์ (solar microscope)

Marcello Malpighi (1628-1694) แพทย์ชาวอิตาลีค้นพบต่อมที่เยื่อบุของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1688 ต่อมา Lieberkuehn บรรยายละเอียดอีกครั้งในDe fabrica et actione vollorum intestinorum tenuium hominis” เมื่อปี ค.ศ. 1745 ปัจจุบันเรียกว่า Crypts of Lieberkuehn

เขาแต่งงานกับ Catherine Dorothy Neveling ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 2 คนเป็นบุตรชาย 1 คนและบุตรสาว 1 คน

เขาเสียชีวิตที่กรุงเบอร์ลินในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1756

Lieberkuehn ทำ specimen ด้านกายวิภาคศาสตร์ไว้มากมาย ค.ศ. 1765 พระราชินีแห่งรัสเซีย Catherine II (1762-1796) ได้รับ specimen เหล่านั้นจึงมอบให้ Russian Medical Military Academy จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน (เก่าแก่กว่า 250 ปีเลยนะครับ ว้าว!)

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(177) Kanavel's sign

Allen Buckner Kanavel (1874-1938)

เกิดวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1874 ที่เมือง Sedgwick รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรชายของ George W. Kanavel (พระนิกาย Methodist) กับ Mary Paugh Kanavel

เขาจบ Bachelor of Arts จากวิทยาลัย liberal arts มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นในปี ค.ศ. 1896 และจบแพทย์จากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นในปี ค.ศ. 1899 ด้วยเกียรตินิยมชั้น cum laude จากนั้นก็ไปใช้ชีวิตที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียนาน 6 เดือนก่อนจะกลับมาทำงานเป็น intern ที่โรงพยาบาล Cook County เมื่อจบในปี ค.ศ. 1902 ก็ได้รับตำแหน่งที่ภาควิชาศัลยศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น

ค.ศ. 1907 เขาแต่งงานกับ Olive Rosencranz ทั้งสองรับเด็กแฝดสามมาเลี้ยงชื่อ Richard, David และ Patricia

เขาสนใจในเรื่องการติดเชื้อที่มือและศึกษานานกว่า 12 ปีจนนำไปสู่การตีพิมพ์ตำราชื่อ Infections of the hand: a guide to the surgical treatment of acute and chronic suppurative processes in the fingers, hand and forearm ในปี ค.ศ. 1912 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การผ่าตัดของมือ ความรู้ในตำราเล่มนี้ใช้เป็นพื้นฐานมาจนถึงปัจจุบัน

Kanavel บรรยายอาการแสดงของ pyogenic flexor tenosynovitis (FT) ของมือ 4 อย่างที่รู้จักกันในชื่อ Kanavel’s sign ประกอบด้วย (1) นิ้วบวมโดยทั่วคล้ายไส้กรอก (sausage finger) (2) ในระยะพักนิ้วอยู่ในท่างอเล็กน้อย (3) กดเจ็บที่ flexor tendon และ (4) เจ็บที่เอ็นเวลาทำ passive extension

นอกจากนี้เขายังมีผลงานด้านประสาทศัลยศาสตร์ด้วยเช่นพัฒนาการผ่าตัด pituitary fossa ผ่านทางจมูก และการผ่าตัด trigeminal nerve เพื่อบรรเทาอาการ tic douloureux (trigeminal neuralgia)

ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาเข้าร่วมกองแพทย์ทหารบกทั้งที่กรุงวอชิงตัน ดีซี และที่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1918 หนึ่งปีต่อมาเขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น

เขาเป็นประธานหน่วยศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1920–1929

เขาเป็นผู้ก่อตั้งวิทยาศัลยแพทย์แห่งอเมริกันและเป็นประธานในปี ค.ศ. 1931-1932

เขาเป็นรองบรรณาธิการของวารสาร Surgery, Gynecology and Obstetrics ระหว่างปี ค.ศ. 1905–1935 และเป็นบรรณาธิการในเวลาต่อมา แต่น่าเสียดายเขาเสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุรถยนต์ขณะเดินทางไปตกปลาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1938 ที่เมือง Pasadena รัฐแคลิฟอร์เนีย (บุตรชายบุญธรรมสองคนคือ Richard กับ David ก็อยู่ในรถด้วยแต่โชคดีที่หนีทันจึงไม่ได้รับอันตราย)

ค.ศ. 1974 J. Michon จำแนกความรุนแรงของ flexor tenosynovitis (FT) ออกเป็น 3 ระดับเพื่อช่วยชี้แนะแนวทางการรักษาเรียกว่า Michon classification ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(176) Golden S sign


Ross Golden (1889-1975)

เกิดวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1889 ที่รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา
เกิดในครอบครัว Methodist minister
เป็นสมาชิกในทีมเบสบอลและฟุตบอลของ Manning High School ในไอโอวาโดยจบในปี ค.ศ. 1908
หลังจบแพทย์จากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดในปี ค.ศ. 1916 ก็เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ประเทศฝรั่งเศส
เป็นหนึ่งในแพทย์ประจำบ้านสาขารังสีวิทยารุ่นแรก ๆ ของโรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ในบอสตัน  หลังจบการเทรน ค.ศ. 1920 ก็ได้รับตำแหน่งที่ภาควิชารังสีวิทยาของโรงพยาบาล Presbyterian นิวยอร์กในโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  ต่อมา ค.ศ. 1922 ก็เป็นหัวหน้าภาควิชารังสีวิทยา
ค.ศ. 1925 เขาบรรยายผู้ป่วยห้ารายที่มีมะเร็งรุกรานหลอดลม  ภาพถ่ายรังสีทรวงอกท่า posteroanterior สองราย (เคสที่สามกับห้า) เนื้องอกอุดตันหลอดลมของปอดขวากลีบบนทำให้เกิดเงาเป็นเส้นโค้งที่ minor fissure ร่วมกับส่วนนูนของขอบเนื้องอกมองเห็นเป็นรูปตัว S กลับด้าน  จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้เลยและไม่รู้ว่าใครเป็นคนสังเกตคนแรกแต่อาการแสดงนี้ก็รู้จักกันในชื่อ reverse S sign of Golden หรือ Golden S sign
ค.ศ. 1927 เขาไปยังกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียเพื่อเรียนกับรังสีแพทย์ผู้มีชื่อเสียง  Leo George Rigler (1896–1979) รังสีแพทย์ชาวอเมริกันเจ้าของ Rigler's sign (double wall sign) ก็เรียนรุ่นเดียวกัน
ค.ศ. 1928 เขาไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการงานบริการรังสีวิทยาที่ศูนย์การแพทย์ Columbia-Presbyterian ใน Washington Heights ซึ่งพึ่งเปิดใหม่โดยได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์
มหาวิทยาลัยโคลัมเบียก่อตั้งภาควิชารังสีวิทยาขึ้นในปี ค.ศ. 1934  Golden เป็นหัวหน้าภาควิชาคนแรกและได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านรังสีวิทยา 
เขาได้รับตำแหน่งประธานวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งอเมริกันในปี ค.ศ. 1943 และเป็นประธานของสมาคมรังสี Roentgen แห่งอเมริกันในปี ค.ศ. 1945
เขาเกษียณจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ. 1954 จากนั้นก็ไปเป็น visiting professor ด้านรังสีวิทยาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแองเจลิส (University of California, Los Angeles: UCLA) เป็นเวลา 10 ปี  เพื่อเป็นเกียรติแด่ Golden เมื่อมีการสร้างห้องสมุดของภาควิชาจึงตั้งชื่อว่า Ross Golden Book Room
เขาเสียชีวิตที่ Laguna Hills รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อ 10 มกราคม ค.ศ. 1975 ตำแหน่งทางวิชาการสูงสุดคือศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านรังสีวิทยา

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(175) Father of immunopathology and modern clinical immunology

Henry George Kunkel (1916-1983)


เกิดวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1916 ที่เมืองบรุกลิน ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรชายของ Louis Otto Kunkel กับ Johanna Kunkel บิดาของเขาเป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงที่สถาบัน Rockefeller ส่วนมารดาเป็นนักปลูกพืชสวน ความชื่นชอบในด้านพฤกษศาสตร์และชีววิทยาของบิดามารดาจุดไฟด้านนี้ให้แก่เขา

เขาจบจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในปี ค.ศ. 1938 ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินและจบในปี ค.ศ. 1942

หลังจบแพทย์ก็เทรนต่อที่โรงพยาบาล Bellevue ในนครนิวยอร์กภายใต้ William S. Tillet ผู้เห็นแววด้านงานวิจัยในตัวเขา แต่เทรนได้สองปีก็ต้องเข้าร่วมกองทัพเรือในสงครามโลกครั้งที่สอง มีเหล่านาวิกโยธินหลายนายที่ป่วยเป็นตับอักเสบทำให้ Kunkel ได้ประสบการณ์ในการรักษาโรคนี้มากและเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเลยทีเดียว

เมื่อสิ้นสุดสงคราม ค.ศ. 1945 เขามาทำงานที่สถาบัน Rockefeller (เป็นมหาวิทยาลัย Rockefeller ในเวลาต่อมา) จากประสบการณ์ในกองทัพเรือจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลโปรแกรมโรคตับอักเสบจากการติดเชื้อของกองทัพเรือ โดยทำงานที่ห้องปฏิบัติการของ Charles L. Hoagland ในสถาบัน Rockefeller ซึ่งกำลังศึกษาโรคตับอักเสบจากการติดเชื้อ หนึ่งปีต่อมา Hoagland เสียชีวิตกระทันหัน Kunkel จึงต้องรับตำแหน่งหัวหน้าห้องปฏิบัติการต่อ

เขาได้รับตำแหน่ง assistant member (ผู้ช่วยศาสตราจารย์) ในปี ค.ศ. 1947 และเป็น associate member (รองศาสตราจารย์) ในปี ค.ศ. 1949

ค.ศ. 1949 เขาร่วมกับแพทย์ชาวอเมริกัน Edward H. “Pete” Ahrens, Jr. (1915-2000) บรรยายโรคตับแข็งที่พวกเขาตั้งชื่อว่า Primary biliary cirrhosis (PBC) ซึ่งศัพท์นี้ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากยังไม่ได้รับการเทรนด้านชีวเคมีอย่างเป็นทางการเพราะอาจารย์ที่ปรึกษา (Hoagland) เสียชีวิตไปก่อน ค.ศ. 1950 Kunkel จึงไปเทรนที่ห้องปฏิบัติการของนักชีวเคมีชาวสวีเดนผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี Arne Wilhelm Kaurin Tiselius (1902-1971) ใน Uppsala ประเทศสวีเดนเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนจะกลับมาทำงานต่อที่สถาบัน Rockefeller

ในการศึกษาโรคตับเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของโปรตีนในซีรัมผู้ป่วย ผู้ป่วยตับแข็งบางรายมีระดับแกมมาโกลบูลินในซีรัมสูงและสัมพันธ์กับเซลล์พลาสมาที่เพิ่มขึ้นในไขกระดูก แกมมาโกลบูลินที่สูงนี้พบในผู้ป่วยมะเร็งของเซลล์พลาสมา (multiple myeloma) ด้วย ค.ศ. 1951 เขาจึงเสนอว่าโปรตีนในซีรัมของผู้ป่วยมะเร็งของเซลล์พลาสมาแม้จะสร้างจากเซลล์มะเร็งแต่ที่จริงเป็นอิมมูโนโกลบูลินปกตินั่นเอง ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องทำให้การศึกษาอิมมูโนโกลบูลินสะดวกขึ้นทั้งในเรื่องโครงสร้างและยีนที่สร้าง

ค.ศ. 1952 เขาได้รับตำแหน่ง full member (ศาสตราจารย์)

ปลายทศวรรษ 1950 เขาเป็นคนแรกที่ค้นพบว่า Rheumatoid Factor (RF) เป็นแอนติบอดี 19S ที่ทำปฏิกิริยากับแกมมาโกลบูลิน 7S ซึ่งเป็นแอนติบอดีอีกชนิดหนึ่งกลายเป็นสารประกอบเชิงซ้อนล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดและทำให้เกิดพยาธิสภาพที่อวัยวะต่าง ๆ

ค.ศ. 1960 เขาเป็นบรรณาธิการของ Journal of Experimental Medicine จนกระทั่งเสียชีวิต

Stephanie Smith (1947-1969) ศิลปินชาวอเมริกันป่วยเป็นโรค Systemic lupus erythematosus (SLE) โดยอยู่ภายใต้ความดูแลของ Henry Kunkel และ Eng M. Tan ค.ศ. 1966 Kunkel และ Tan ค้นพบว่า Smith สร้างแอนติบอดีต่อโปรตีนในนิวเคลียสของเซลล์ตนเอง แอนติเจนดังกล่าวเรียกว่า Smith antigen (Sm Ag) แอนติบอดีต่อแอนติเจนนี้จึงมีชื่อว่า Anti-Sm antibody ซึ่งถูกใช้เป็นหนึ่งในเกณฑ์การวินิจฉัยโรค SLE

ค.ศ. 1975 Kunkel ได้รับรางวัลลาสเกอร์สาขาวิจัยพื้นฐานทางการแพทย์

ค.ศ. 1976 เขาได้รับตำแหน่ง Abby Rockefeller Mauzè Professor ของมหาวิทยาลัย Rockefeller

ภรรยาของเขา Betty เป็นครูสอนเล่นสเกต ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสามคน เป็นบุตรชายสองคนคือ Louis กับ Henry และบุตรสาวหนึ่งคนคือ Ellen

Kunkel เสียชีวิตที่ Mayo Clinic ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1983 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งพยาธิวิทยาภูมิคุ้มกันและวิทยาภูมิคุ้มกันคลินิกยุคใหม่ (Father of immunopathology and modern clinical immunology)

ค.ศ. 1990 กลุ่มอดีตนักเรียนของ Kunkel และผู้ร่วมงานร่วมกันก่อตั้งสมาคมเพื่อพัฒนาสาขาวิทยาภูมิคุ้มกันโดยตั้งชื่อว่า Henry Kunkel Society เพื่อเป็นเกียรติแด่ Kunkel