วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(194) Harrison's sulcus


Edward Harrison (1766-1838)

เกิดที่ Lancashire ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1766
เขาเรียนที่เอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ ภายใต้ John Hunter (1728-1793) ศัลยแพทย์ชาวสกอต และที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ภายใต้ William Hunter (1718-1783) แพทย์ชาวสกอต
จบแพทย์ที่เอดินบะระในปี ค.ศ. 1784 จากนั้นก็ไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส  ค.ศ. 1789 ย้ายมาทำเวชปฏิบัติที่ Horncastle ใน Lincolnshire ที่นี่เขาก่อตั้ง Horncastle Dispensary
เขาพยายามจะปฏิรูปวิชาชีพแพทย์ในลอนดอนแต่ล้มเหลวจึงหันมาอุทิศชีวิตให้กับอาชีพแพทย์  เขาเริ่มสนใจในด้านกระดูกสันหลังตั้งแต่ประสบความสำเร็จในการรักษาลูกพี่ลูกน้องของภรรยาที่ทนทุกข์ทรมานจากความผิดปกติของกระดูกสันหลังจนหาย
ค.ศ. 1789 แพทย์ชาวอังกฤษผู้นี้บรรยายความผิดปกติของกระดูกซี่โครงซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคกระดูกอ่อน (rickets)  ปัจจุบันเรียกว่า Harrison's sulcus  
ค.ศ. 1827 เขาตีพิมพ์ Pathological and Practical Observations on Spinal Diseases เป็นครั้งแรก โดยฉบับพิมพ์ครั้งที่สองตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1831
เขาก่อตั้ง Lincolnshire Medical Benevolent Society และเป็นประธานทั้ง Royal Medical Society และ Royal Physical Society  นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของ Royal Society ด้วย
ค.ศ. 1837 เขาก่อตั้งสถานพยาบาลขนาด 6 เตียงสำหรับผู้ป่วยกระดูกสันหลังแห่งแรกในกรุงลอนดอนที่บ้านเขาเองใน Stanhope Street (ปัจจุบันกลายเป็นแฟลตสมัยใหม่)  แต่น่าเสียดายที่เพียงหนึ่งปีต่อมาเขาก็เสียชีวิตในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1838 ระหว่างเดินทางไป Marlborough ประเทศนิวซีแลนด์

เอกสารอ้างอิง
                Weiner MF, Silver JR. Edward Harrison and the treatment of spinal deformities in the nineteenth century. J R Coll Physicians Edinb 2008; 38:265-71.


วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(193) Ivemark syndrome


Bjorn Isaac Isaacson Ivemark (1925-2005)

เกิดปี ค.ศ. 1925 ที่เมือง Karlstad ประเทศสวีเดน
จบแพทย์จากสถาบันแคโรลินสกาในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนเมื่อปี ค.ศ. 1951
ค.ศ. 1955 พยาธิแพทย์ชาวสวีเดนผู้นี้รายงานโรคแต่กำเนิดที่หายากชนิดหนึ่งซึ่งมีความผิดปกติของม้ามและหัวใจโดยเขาเรียกว่า Right atrial isomerism  ปัจจุบันคือ asplenia-cardiovascular defect-heterotaxy anomalies หรือ Ivemark syndrome
ค.ศ. 1959 Ivemark และคณะบรรยายกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติ 3 อย่าง (triads) คือ pancreatic fibrosis, renal dysplasia และ hepatic dysgenesis  ปัจจุบันคือ Renal-Hepatic-Pancreatic dysplasia (RHPD) หรือเรียกว่า Ivemark syndrome เช่นกัน (เนื่องจากชื่อซ้ำกันตามหลักของเวลาอันแรกน่าจะเรียกว่า Ivemark syndrome I ส่วนอันหลังควรจะเป็น Ivemark syndrome II)
เขาเสียชีวิตในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ที่เมือง Carcassonne ประเทศฝรั่งเศส

เอกสารอ้างอิง
                Ivemark BI. Implications of agenesis of the spleen on the pathogenesis of conotruncus anomalies in childhood; an analysis of the heart malformations in the splenic agenesis syndrome, with fourteen new cases. Acta Paediatr Suppl 1955; 44 (Suppl 104): 7–110. 
 Ivemark BI, Oldfelt V, Zetterstrom R: Familial dysplasia of kidneys, liver, and pancreas: a probably genetically determined syndrome.Acta Pediatr Scand 1959; 48:1-11. OpenURL

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(192) Sister Joseph’s nodule


Julia Dempsey (1856-1939)

เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 ที่ Salamanca รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
ค.ศ. 1878 เธอเป็นแม่ชีที่ third order regular of Saint Francis, congregation of our Lady of Lourdes ในโรเชสเตอร์ รัฐมินนิโซตา จึงมีชื่อใหม่ว่า Sister Mary Joseph Dempsey ทำหน้าที่สอนหนังสือในหลายสถานที่
บ่ายวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1883 เกิดพายุทอร์นาโดถล่มโรเชสเตอร์ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก  Mother Marry Alfred Moes (1828-1899) และเหล่าซิสเตอร์แห่ง Saint Francis เสนอให้มีการสร้างโรงพยาบาลเพื่อรองรับผู้ป่วยในตอนใต้ของรัฐมินนิโซตาแก่ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน William Warrall Mayo (1819-1911) และบุตรชายสองคนคือ Charles Horace Mayo (1865-1939) กับ William James Mayo (1861-1939) ซึ่งทำเวชปฏิบัติอยู่ที่นั่น  ตอนแรกไม่เห็นด้วยแต่เมื่อได้เห็นความพยายามของ Mother Alfred ในที่สุดก็เห็นด้วยและร่วมกันสร้างโรงพยาบาลขึ้น  ตอนแรกใช้ชื่อว่า Saint Mary’s Hospital (ปัจจุบันตัด apostrophe ออกเหลือเป็น Saint Marys Hospital) 
โรงพยาบาล Saint Marys เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1889 โดย Mother Alfred เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล  หกสัปดาห์หลังเปิดทำการ Sister Mary Joseph ถูกเรียกตัวจากการสอนหนังสือที่รัฐเคนทักกีให้มาประจำอยู่ที่นี่  เธอเรียนรู้งานพยาบาลจาก Edith Graham (1867-1943) นางพยาบาลที่จบการศึกษาเป็นคนแรกในโรเชสเตอร์  เพียงสองเดือน Sister Mary Joseph ก็รับหน้าที่หัวหน้าพยาบาลแทน Edith Graham ซึ่งกลับไปเป็นวิสัญญีพยาบาลที่คลินิกของพี่น้อง Mayo ตามเดิม (Edith Graham แต่งงานกับ Charles Horace Mayo ในเวลาต่อมา)
ค.ศ. 1890 Sister Mary Joseph เป็นผู้ช่วยด้านศัลยกรรมคนที่หนึ่งของ William James Mayo  สองปีต่อมา กันยายน ค.ศ. 1892 เธอก็ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยโรงพยาบาลคนที่สองและครองตำแหน่งนี้จนกระทั่งเสียชีวิต
ค.ศ. 1906 เธอเปิดโรงเรียนพยาบาลของโรงพยาบาล Saint Marys โดยเปิดสอนแก่ทั้งซิสเตอร์และหญิงทั่วไป 
ค.ศ. 1915 เธอมีส่วนช่วยก่อตั้งสมาคมโรงพยาบาลคาทอลิกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา  โดยได้รับเลือกให้เป็นประธานของสมาคมคนแรก
ในระหว่างเตรียมหน้าท้องผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเธอเป็นผู้ชี้ให้ William James Mayo สนใจ nodule ที่สะดือจนนำไปสู่การรายงานในปี ค.ศ. 1928 ว่ามันเป็น metastasis จากมะเร็งช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน 
เธอเสียชีวิตในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1939 ที่โรเชสเตอร์นั่นเอง  เนื่องจากเธอตัดคำว่า Marry ออกจากชื่อในตอนหลัง  ค.ศ. 1949 ตำรา "Physical Signs in Clinical Surgery" ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 11 ของศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ Henry Hamilton Bailey (1894-1961) จึงตั้งชื่ออาการแสดงดังกล่าวว่า Sister Joseph’s nodule” (ไม่ใช่ Sister Marry Joseph’s nodule นะครับ)
ภายใต้การบริหารงานอันโดดเด่นของเธอสนับสนุนให้พี่น้อง Mayo พัฒนาโรงพยาบาลจนมีชื่อเสียงในระดับโลก (ปัจจุบันเป็นวิทยาเขตหนึ่งของ Mayo Clinic)  ตึกศัลยกรรมดั้งเดิมที่พี่น้อง Mayo ใช้ได้รับการตั้งชื่อว่า Joseph Building เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ (อีกสี่ตึกของโรงพยาบาลคือ Alfred Building, Domitilla Building, Marry Brigh Building และ Generose Building ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีกสี่คนคือ Mother Alfred, Sister Domitilla, Sister Marry Brigh และ Sister Generose ตามลำดับ)
แผนที่โรงพยาบาล http://www.mayoclinic.org/maps-rst/saintmarys.gif

เอกสารอ้างอิง
http://www.turner-white.com/pdf/hp_may01_sister.pdf

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

MMM(191) McNEILL-LOVE MEDAL


Robert “Robbie” John McNeill Love (1891-1974)

เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1891 ที่ Devonport ใน Devon ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายของผู้ก่อตั้งบริษัทคลังสินค้าที่ประสบความสำเร็จใน Plymouth และเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองตอนที่เขาเกิดด้วย
เขาจบแพทย์จากโรงพยาบาลลอนดอนในปี ค.ศ. 1914 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ไปทำงานในกองแพทย์ทหารบกหลวงที่ประเทศอินเดีย ตุรกี และเมโสโปเตเมีย โดยที่สุดท้ายเขาปฏิบัติงานเป็นศัลยแพทย์  เขากล่าวเสมอว่าเป็นหนี้ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ George Grey Turner (1877–1951) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการที่เมโสโปเตเมีย
หลังสิ้นสุดสงครามได้มาเป็น house surgeon ที่โรงพยาบาลลอนดอนและ R.S.O. ที่ Poplar  หลังจบการเทรนก็ทำงานเป็นผู้ช่วยคนที่หนึ่งที่โรงพยาบาลลอนดอน  เขาได้แรงบันดาลใจจากหลายท่านคือ Sir Hugh Lett (1876-1964), Malcolm Rigby และ Russell Howard  ช่วงนั้นศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ Henry Hamilton Bailey (1894–1961) ก็เป็นผู้ช่วยหัวหน้า fellow ที่โรงพยาบาลลอนดอน  Love และ Bailey ได้เป็น registrar ระหว่างปี ค.ศ. 1922-1925 แต่ทั้งสองไม่ผ่านการสอบสัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 1925 จึงไม่ได้รับตำแหน่ง consultant ที่โรงพยาบาลลอนดอน
อย่างไรก็ตามสตาฟของโรงพยาบาล Royal Northern เล็งเห็นความสามารถจึงเชิญทั้งคู่มาร่วมงานในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1930  ต่อมาทั้งสองได้ร่วมกันประพันธ์ตำรา “Bailey & Love Short Practice of Surgery” ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1932
Love มีส่วนร่วมในตำราน้อยมากเพราะยุ่งอยู่กับการเป็น Court of Examiners ของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์นานถึงหกปีซึ่งสุดท้ายได้เป็นประธาน  ต่อมาเขาได้รับเลือกเข้าสู่สภา (Council) ในปี ค.ศ. 1945 และเกษียณจากสภาในปี ค.. 1953  ก่อนจะเกษียณจากโรงพยาบาล Royal Northern ในปี ค.ศ. 1956
จากการเสนอของ Love ค.ศ. 1961 ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์จัดตั้งเหรียญรางวัลขึ้นเพื่อมอบแก่สตาฟศัลยกรรมที่ทำงานบริการยาวนานถึง 40 ปี  เรียกว่าเหรียญรางวัล McNEILL-LOVE MEDAL โดยเป็นเหรียญทองแดงด้านหนึ่งเป็นตราราชวิทยาลัยอีกด้านเป็นคำจารึก
เขาแต่งงานสองครั้ง  ครั้งแรกแต่งงานกับ Dorothy Ida Borland มีบุตรด้วยกันสองคน  บุตรชายเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรค Hodgkin  ส่วนบุตรสาว Caroline Anne McNeill Love (เกิด 6 .. 1937) จบพยาบาลและเริ่มทำงานที่โรงพยาบาลลอนดอนในปี ค.ศ. 1958 หนึ่งปีต่อมาเธอแต่งงานกับ Murray Newall Cox  ต่อมาเธอจบสังคมวิทยาและไปทำงานด้านสังคมจนได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Baroness Cox of Queensbury
Love เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1974 จากมะเร็งกระเพาะอาหารที่ผ่าตัดไม่ได้  ตำรา “Bailey & Love Short Practice of Surgery” ฉบับปรับปรุงครั้งสุดท้ายที่เขาได้มีส่วนร่วมคือฉบับพิมพ์ครั้งที่ 16 ตีพิมพ์ในปี ค.. 1975  ตำราเล่มนี้ล่าสุดเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 26 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2013

เอกสารอ้างอิง
McNeill Love Medal: Recognition of Long Service in the College. Ann R Coll Surg Engl 1961; 29(6): 389–91.

Murley R. Robert John McNeill Love 1891-1974. Ann R Coll Surg Engl 1986; 68(1): 26.