การถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดและปวดเวลาอุจจาระปรากฎหลักฐานใน Ebers Papyrus ของอียิปต์เมื่อ 1,550 ปีก่อนคริสตกาล Hippocrates (ประมาณ 460 BC – 370 BC) บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันเรียกสิ่งนี้ว่าโรคบิด (Dysentery) มาจากภาษาละติน Dysenteria ซึ่งเป็นการผสมคำระหว่าง “dys” ที่แปลว่า “ไม่ดี” กับ “enteron” ที่แปลว่า “ลำไส้”
ค.ศ. 1875 แพทย์ชาวรัสเซีย Fedor Aleksandrevitch Losch หรือ Lesh (1840-1903) ค้นพบเชื้ออะมีบาที่เป็นสาเหตุของโรคบิดจากกล้องจุลทรรศน์ที่กรุง St Petersburg ประเทศรัสเซีย เขาเรียกมันว่า Amoeba coli ค.ศ. 1895 O. Casagrandi และ P. Barbagallo รายงานเชื้ออะมีบาที่อยู่ร่วมกับมนุษย์โดยไม่มีอันตรายและตั้งชื่อว่า Entamoeba coli ซึ่งตัวย่อคือ E. coli เหมือน Escherichia coli เลยอย่าสับสนกันนะครับ ต่อมา ค.ศ. 1903 Fritz Richard Schaudinn (19 ก.ย. 1871 - 22 มิ.ย. 1906) นักสัตววิทยาชาวเยอรมันเปลี่ยนชื่อเชื้ออะมีบาที่ Losch ค้นพบจาก Entamoeba coli เป็น Entamoeba histolytica และเป็นชื่อที่นิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน (Schaudinn ศึกษาเชื้อ Entamoeba histolytica ด้วยตนเองจนเกิดป่วยและเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1906)
โรคบิดที่เกิดจากอะมีบาเรียกว่าโรคบิดมีตัว (Amebic dysentery) แต่มีผู้ป่วยอีกส่วนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์แล้วไม่เห็นตัวอะมีบาจึงเรียกว่าโรคบิดไม่มีตัว (Nonamebic dysentery) นักวิทยาศาสตร์ทั้งยุโรป, อเมริกา รวมถึงญี่ปุ่นต่างก็เสนอว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอะมีบา
ไม่มีใครค้นพบแบคทีเรียดังกล่าว จนกระทั่งปี ค.ศ. 1897 โรคบิด (ภาษาญี่ปุ่นคือ “sekiri” มาจากลักษณะของคนจีนหมายถึง “อุจจาระเหลวสีแดง”) ระบาดหนักในญี่ปุ่นมีรายงานผู้ป่วยกว่า 91,000 รายและอัตราการตายสูงมากกว่า 20% แพทย์ชาวญี่ปุ่น Kiyoshi Shiga (1871-1957) ศึกษาผู้ป่วย 36 รายที่ Institute for the Study of Infectious Diseases และแยกเชื้อแบคทีเรียรูปแท่ง (bacillus) ที่ก่อโรคได้จึงตั้งชื่อว่า Bacillus dysentericus หนึ่งปีต่อมาเขาเปลี่ยนชื่อเป็น Bacillus dysenteriae โรคบิดไม่มีตัวจึงมีอีกชื่อว่า Bacillary dysentery
Kiyoshi Shiga (1871-1957)
เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1871 ที่เมือง Sendai ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น
เขาเป็นบุตรคนที่ 5 ของ Shin กับ Chiyo Sato บิดาของเขาเป็นผู้ดูแลสูงสุดของชนชั้นซามูไร
ช่วงนั้นเป็นช่วงปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองของญี่ปุ่น บิดาของเขาสูญเสียตำแหน่งไปซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเศรษฐกิจของครอบครัว Kiyoshi จึงเติบโตขึ้นมาในครอบครัวมารดาและใช้สกุลของมารดาก่อนแต่งงานคือ Shiga
ค.ศ. 1886 ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่กรุงโตเกียว
เขาเรียนแพทย์ที่ Tokyo Imperial University ในปี ค.ศ. 1892 และจบในปี ค.ศ. 1896 จากนั้นก็ทำงานที่ Institute for the Study of Infectious Diseases ในกรุงโตเกียวภายใต้แพทย์ชาวญี่ปุ่น Kitasato Shibasaburo (29 ม.ค. 1853 - 13 มิ.ย. 1931)
ค.ศ. 1899 Shiga ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการห้องปฎิบัติการที่ Institute for the Study of Infectious Diseases
ค.ศ. 1900 เขาแต่งงานกับ Ichiko ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 8 คน
ค.ศ. 1901 เขาไปทำงานร่วมกับแพทย์ชาวเยอรมัน Paul Ehrlich (14 มี.ค. 1854 – 20 ส.ค. 1915) ค้นหาสารสีที่สามารถฆ่าเชื้อปรสิต trypanosome ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงาหลับ (sleeping sickness) ที่ Institut für Experimental Therapie ใน Frankfurt ประเทศเยอรมนี
เขากลับมาทำงานที่ Institute for the Study of Infectious Diseases ในปี ค.ศ. 1905
เมษายน ค.ศ. 1920 Shiga ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านแบคทีเรียวิทยาที่มหาวิทยาลัย Keio ในเมือง Minato กรุงโตเกียว ปลายปีนั้นเองเขาก็ไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งชาติของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ (อาณานิคมของญี่ปุ่นขณะนั้น) ตามคำร้องขอของรัฐบาลญี่ปุ่น
Keijo Imperial University ที่กรุงโซลก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1926 เขาได้รับตำแหน่งคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ช่วงปี ค.ศ. 1929 – 1931 เขาได้รับตำแหน่งประธานของมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ลาออกจากตำแหน่งและกลับกรุงโตเกียวเพื่อไปทำงานวิจัยที่เขารักต่อ เขาพยายามคิดค้นวัคซีนป้องกันโรค Shigellosis แต่ก็ไม่สำเร็จ
สงครามโลกครั้งที่สองเป็นช่วงเลวร้ายสำหรับชีวิตของเขา ค.ศ. 1944 ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร Naoshi บุตรชายคนโตของเขาซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยในไทเปเสียชีวิตกลางทะเลขณะเดินทางมาร่วมงานศพมารดา Akira บุตรชายอีกคนของเขาติดเชื้อวัณโรคขณะสู้รบที่จีนและเสียชีวิตหลังสงคราม บ้านที่โตเกียวถูกระเบิดทำลายเขาจึงไปอยู่กับ Makoto บุตรชายอีกคนที่เมือง Sendai
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น