Charles “Charlie” David Kelman (1930-2004)
เกิดวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1930 ที่บรุกลิน รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ
เขาเป็นบุตรชายของ David Kelman กับ Eva (Gelles) Kelman บิดาของเขาเป็นชาวยิวที่อพยพมาจากประเทศกรีซ
เขาเติบโตที่ Queens ในยุควงดนตรี Big Band และเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยม Forest Hills
เขาจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Tufts ที่บอสตันในปี ค.ศ. 1950 จากนั้นก็เข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1956
ค.ศ. 1956-1957 เขาเป็น intern ที่โรงพยาบาล Kings County ในบรุกลิน นิวยอร์กซิตี้
ค.ศ. 1958-1960 เทรนด้านจักษุวิทยาที่โรงพยาบาล Wills Eye ในฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย
ค.ศ. 1960 เขาเริ่มทำเวชปฏิบัติส่วนตัวในด้านจักษุวิทยาที่นิวยอร์กซิตี้
เขามีภรรยาชื่อ Ann Kelman ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 6 คนคือ David Joseph Kelman, Lesley Kelman, Jennifer, Evan, Jason และ Seth Kelman
ค.ศ. 1962 เขาคิดค้น cryoprobe ซึ่งทำให้เลนส์ที่เป็นต้อกระจก (cataract) แข็งตัวทำให้ง่ายต่อการนำออกมา [เทคนิคนี้นิยมใช้จนกระทั่งปี ค.ศ. 1978 ก็ถูกแทนที่ด้วยเทคนิค extracapsular cataract extraction (ECCE) ซึ่งคิดค้นโดย Kelman เช่นกัน]
ค.ศ. 1963 เขาบุกเบิกการใช้ความเย็นรักษาภาวะ retinal detachments เรียกว่า Retinal cryopexy ซึ่งปัจจุบันยังใช้กันอยู่
ต้นทศวรรษ 1960 เขาพยายามพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดต้อกระจกโดยลงแผลผ่าตัดขนาดเล็ก งานวิจัยได้รับทุนสนับสนุน 299,000 เหรียญสหรัฐฯจากกองทุน John H. Hartford แต่การทดลองในแมวครั้งแล้วครั้งเล่าล้มเหลว โชคดีหกเดือนก่อนที่ทุนจะหมดเขาได้ไปขูดหินปูนกับทันตแพทย์ ขณะนอนอยู่บนเก้าอี้ทำฟัน ทันตแพทย์ใช้ ultrasonic probe แตะที่ enamel ของฟัน การสั่นสะเทือนของมันทำให้เขานึกถึงการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonic wave) ไปสั่นสะเทือนที่เลนส์ตาซึ่งเป็นต้อกระจกให้สลาย (emulsified) แล้วดูดออกมาทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก เทคนิคนี้เรียกว่า Kelman phacoemulsification (คำว่า “phaco” มาจากภาษากรีกที่แปลว่า “เลนส์”) ซึ่งประยุกต์ไปใช้ในการผ่าตัดอื่น ๆ ด้วยเช่น การผ่าตัดข้อ นิ่วในถุงน้ำดี หมอนรองกระดูก เนื้องอกสมองและไขสันหลัง เป็นต้น
เขานำเสนอ phacoemulsification ในปี ค.ศ. 1967 เทคนิคการผ่าตัดนี้ทำให้จากเดิมผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาล 10 วันเป็นทำเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้ นอกจากนี้ภาวะแทรกซ้อนยังลดลงอย่างเห็นได้ชัด นับเป็นการปฏิวัติการผ่าตัดต้อกระจกเลยทีเดียว
ค.ศ. 1975 เขาเริ่มออกแบบเลนส์ตาเพื่อนำมาใช้แทนเลนส์ตาต้อกระจกที่ผ่าตัดออกไป
เขาเป็นศาสตราจารย์คลินิกด้านจักษุวิทยาที่วิทยาลัยแพทย์นิวยอร์กและเป็นจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลตาและหูนิวยอร์ก (New York Eye and Ear Infirmary) กับโรงพยาบาลตาหูและคอแมนแฮตตัน (Manhattan Eye, Ear and Throat Hospital) นอกจากนี้ยังเป็นแพทย์ที่ปรึกษาให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ มากมาย
เขาฝึกเป็นนักบินและมักจะขับเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวจากบ้านที่ Long Island ไปยังโรงพยาบาล Lydia E. Hall ที่ Freeport ในนิวยอร์กบ่อย ๆ
นอกจากบุกเบิกการผ่าตัดตาแล้วเขายังเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมอีกด้วย เขาเล่นแซกโซโฟนในคอนเสิร์ตกับ Dizzy Gillespie เคยแสดงที่ Carnegie Hall เขาผลิตละครเพลงบรอดเวย์ เขาแต่งดนตรีและเคยออกอัลบั้มกับ Columbia Records
ค.ศ. 1985 เขาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ “Through My Eyes” ให้กับสำนักพิมพ์ Crown Publishing
ค.ศ. 1995-1997 เขาดำรงตำแหน่งประธานของ American Society of Cataract and Refractive Surgeons (ASCRS)
เขาก่อตั้ง International Retinal Research Foundation (IRRF) ร่วมกับเพื่อนสนิทคือจักษุแพทย์ชาวอเมริกัน Alston Callahan (16 มี.ค. 1911 – 28 ต.ค. 2005)* โดย Kelman ดำรงตำแหน่งรองประธานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ค.ศ. 1999 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอด
ค.ศ. 2003 บุตรคนแรกของเขาคือ David Joseph Kelman เสียชีวิต
หลังต่อสู้กับโรคร้ายมาหลายปีในที่สุด Kelman ก็เสียชีวิตจากมะเร็งปอดในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2004 ที่ Boca Raton รัฐฟลอริดา
เป็นที่ยอมรับกันว่าเขาเป็นหนึ่งในจักษุแพทย์ที่เก่งที่สุดของศตวรรษที่ 20 และได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของ phacoemulsification ห้องสมุดของสถาบัน Wills Eye ได้รับการตั้งชื่อว่า Charles D. Kelman Library เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
*Alston Callahan ก่อตั้ง Eye Foundation Hospital ที่เบอร์มิงแฮม รัฐแอละแบมาในปี ค.ศ. 1962 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Callahan Eye Foundation Hospital ในปี ค.ศ. 1991
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น