วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MMM(122) Father of phacoemulsification

Charles “Charlie” David Kelman (1930-2004)


เกิดวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1930 ที่บรุกลิน รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ

เขาเป็นบุตรชายของ David Kelman กับ Eva (Gelles) Kelman บิดาของเขาเป็นชาวยิวที่อพยพมาจากประเทศกรีซ

เขาเติบโตที่ Queens ในยุควงดนตรี Big Band และเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยม Forest Hills

เขาจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Tufts ที่บอสตันในปี ค.ศ. 1950 จากนั้นก็เข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1956

ค.ศ. 1956-1957 เขาเป็น intern ที่โรงพยาบาล Kings County ในบรุกลิน นิวยอร์กซิตี้

ค.ศ. 1958-1960 เทรนด้านจักษุวิทยาที่โรงพยาบาล Wills Eye ในฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย

ค.ศ. 1960 เขาเริ่มทำเวชปฏิบัติส่วนตัวในด้านจักษุวิทยาที่นิวยอร์กซิตี้

เขามีภรรยาชื่อ Ann Kelman ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 6 คนคือ David Joseph Kelman, Lesley Kelman, Jennifer, Evan, Jason และ Seth Kelman

ค.ศ. 1962 เขาคิดค้น cryoprobe ซึ่งทำให้เลนส์ที่เป็นต้อกระจก (cataract) แข็งตัวทำให้ง่ายต่อการนำออกมา [เทคนิคนี้นิยมใช้จนกระทั่งปี ค.ศ. 1978 ก็ถูกแทนที่ด้วยเทคนิค extracapsular cataract extraction (ECCE) ซึ่งคิดค้นโดย Kelman เช่นกัน]

ค.ศ. 1963 เขาบุกเบิกการใช้ความเย็นรักษาภาวะ retinal detachments เรียกว่า Retinal cryopexy ซึ่งปัจจุบันยังใช้กันอยู่

ต้นทศวรรษ 1960 เขาพยายามพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดต้อกระจกโดยลงแผลผ่าตัดขนาดเล็ก งานวิจัยได้รับทุนสนับสนุน 299,000 เหรียญสหรัฐฯจากกองทุน John H. Hartford แต่การทดลองในแมวครั้งแล้วครั้งเล่าล้มเหลว โชคดีหกเดือนก่อนที่ทุนจะหมดเขาได้ไปขูดหินปูนกับทันตแพทย์ ขณะนอนอยู่บนเก้าอี้ทำฟัน ทันตแพทย์ใช้ ultrasonic probe แตะที่ enamel ของฟัน การสั่นสะเทือนของมันทำให้เขานึกถึงการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonic wave) ไปสั่นสะเทือนที่เลนส์ตาซึ่งเป็นต้อกระจกให้สลาย (emulsified) แล้วดูดออกมาทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก เทคนิคนี้เรียกว่า Kelman phacoemulsification (คำว่า “phaco” มาจากภาษากรีกที่แปลว่า “เลนส์”) ซึ่งประยุกต์ไปใช้ในการผ่าตัดอื่น ๆ ด้วยเช่น การผ่าตัดข้อ นิ่วในถุงน้ำดี หมอนรองกระดูก เนื้องอกสมองและไขสันหลัง เป็นต้น

เขานำเสนอ phacoemulsification ในปี ค.ศ. 1967 เทคนิคการผ่าตัดนี้ทำให้จากเดิมผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาล 10 วันเป็นทำเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้ นอกจากนี้ภาวะแทรกซ้อนยังลดลงอย่างเห็นได้ชัด นับเป็นการปฏิวัติการผ่าตัดต้อกระจกเลยทีเดียว

ค.ศ. 1975 เขาเริ่มออกแบบเลนส์ตาเพื่อนำมาใช้แทนเลนส์ตาต้อกระจกที่ผ่าตัดออกไป

เขาเป็นศาสตราจารย์คลินิกด้านจักษุวิทยาที่วิทยาลัยแพทย์นิวยอร์กและเป็นจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลตาและหูนิวยอร์ก (New York Eye and Ear Infirmary) กับโรงพยาบาลตาหูและคอแมนแฮตตัน (Manhattan Eye, Ear and Throat Hospital) นอกจากนี้ยังเป็นแพทย์ที่ปรึกษาให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ มากมาย

เขาฝึกเป็นนักบินและมักจะขับเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวจากบ้านที่ Long Island ไปยังโรงพยาบาล Lydia E. Hall ที่ Freeport ในนิวยอร์กบ่อย ๆ

นอกจากบุกเบิกการผ่าตัดตาแล้วเขายังเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมอีกด้วย เขาเล่นแซกโซโฟนในคอนเสิร์ตกับ Dizzy Gillespie เคยแสดงที่ Carnegie Hall เขาผลิตละครเพลงบรอดเวย์ เขาแต่งดนตรีและเคยออกอัลบั้มกับ Columbia Records

ค.ศ. 1985 เขาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ “Through My Eyes” ให้กับสำนักพิมพ์ Crown Publishing

ค.ศ. 1995-1997 เขาดำรงตำแหน่งประธานของ American Society of Cataract and Refractive Surgeons (ASCRS)

เขาก่อตั้ง International Retinal Research Foundation (IRRF) ร่วมกับเพื่อนสนิทคือจักษุแพทย์ชาวอเมริกัน Alston Callahan (16 มี.ค. 1911 28 ต.ค. 2005)* โดย Kelman ดำรงตำแหน่งรองประธานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต

ค.ศ. 1999 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอด

ค.ศ. 2003 บุตรคนแรกของเขาคือ David Joseph Kelman เสียชีวิต

หลังต่อสู้กับโรคร้ายมาหลายปีในที่สุด Kelman ก็เสียชีวิตจากมะเร็งปอดในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2004 ที่ Boca Raton รัฐฟลอริดา

เป็นที่ยอมรับกันว่าเขาเป็นหนึ่งในจักษุแพทย์ที่เก่งที่สุดของศตวรรษที่ 20 และได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของ phacoemulsification ห้องสมุดของสถาบัน Wills Eye ได้รับการตั้งชื่อว่า Charles D. Kelman Library เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2004 เขาได้รับรางวัลลาสเกอร์สาขา Clinical Medical Research ประจำปี ค.ศ. 2004 โดย Ann ภรรยาของเขาเป็นผู้ไปรับรางวัล เธอมอบเงินรางวัลจำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐฯ ให้แก่ IRRF และมั่นใจว่าสามีของเธอคงจะเห็นด้วย นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งกองทุนครอบครัว Dr. Charles and Ann Kelman เพื่อสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมด้านจักษุวิทยา งานวิจัยมะเร็งปอด มนุษยศาสตร์และศิลปะดนตรี โดย Ann ดำรงตำแหน่งประธานกองทุน

*Alston Callahan ก่อตั้ง Eye Foundation Hospital ที่เบอร์มิงแฮม รัฐแอละแบมาในปี ค.ศ. 1962 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Callahan Eye Foundation Hospital ในปี ค.ศ. 1991

ไม่มีความคิดเห็น: