วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MMM(105) Wenckebach phenomenon

Wenckebach phenomenon


ค.ศ. 1873 Luigi Luciani (1840–1919) แพทย์ชาวอิตาลีที่ห้องปฏิบัติการ Carl Ludwig อันโด่งดังใน Leipzig ประเทศเยอรมนี ทำการผูกหัวใจกบบริเวณเหนือ AV groove พบว่าหัวใจห้องล่างจะเต้นเป็นชุด ๆ โดยมีจังหวะช้าลงเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะหยุดเต้น จากนั้นก็จะเริ่มเต้นใหม่แล้วช้าลงเรื่อยจนหยุดเต้นอีกครั้ง เรียกว่า periodic rhythm (เป็นการค้นพบ AV block ครั้งแรกโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย)

ค.ศ. 1873 Alfred Lewis Galabin (1843-1913) สูติแพทย์ชาวอังกฤษที่โรงพยาบาล Guy ในกรุงลอนดอนรายงานผู้ป่วยวัย 34 ปีที่มีชีพจรช้าประมาณ 25 – 30 ครั้ง/นาที (จาก laddergram ของ apexcardiogram ของผู้ป่วยพบว่าเป็น AV block 3:1 และ 2:1 ถือเป็นการรายงาน AV block ในมนุษย์เป็นครั้งแรก)

ค.ศ. 1898 Karel Frederik Wenckebach (1864-1940) อายุรแพทย์ชาวดัทช์ศึกษาผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีหัวใจเต้นผิดปกติเป็นชุด ๆ Theodor Wilhelm Engelmann (1843–1909) แพทย์ชาวเยอรมันอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาช่วยเหลือด้วยการมอบใบบันทึกชีพจรจากหัวใจของกบในปี ค.ศ. 1893 ให้แก่เขา เมื่อเปรียบเทียบกับ radial pulse ของคนไข้พบว่าคล้ายคลึงกันและเหมือนที่ Luciani ค้นพบ เขารายงานในปี ค.ศ. 1899 และตั้งชื่อหัวใจเต้นผิดปกติเป็นชุด ๆ นี้ว่า "Luciani periods" (ต่อมาเรียกว่า Wenckebach periodicity สำหรับลักษณะชีพจรที่ขาดช่วงไปนั้นเรียกว่า Wenckebach block หรือ Wenckebach phenomenon)

ค.ศ. 1902 Willem Einthoven (1860-1927) นักสรีรวิทยาชาวดัทช์ตีพิมพ์การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เป็นครั้งแรก

1906 John Hay (25 พ.ย. 1873 – 21 เม.ย. 1959) หทัยแพทย์ชาวอังกฤษที่เมืองลิเวอร์พูลรายงานในวารสาร Lancet ถึงผู้ป่วยชายวัย 65 ปีมีหัวใจเต้นผิดปกติอีกแบบคือในจังหวะการเต้นของหัวใจที่เป็นปกติ a-c intervals ของ jugular venous waves จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ทุก ๆ 2 atrial pulse-wave intervals เกิด a wave ขึ้นแต่ไม่มี c wave หรือ radial pulse ตามมา

ค.ศ. 1924 Woldemar Mobitz (1889–1951) ศัลยแพทย์ชาวรัสเซีย-เยอรมันแยกลักษณะ dropped beat ใน second degree AV block ของ Wenckebach และ Hay ออกจากกันเพราะ pathophysiology และ prognosis ต่างกัน โดยของ Wenckebach พบก่อนจัดเป็น type I และของ Hay พบทีหลังจัดเป็น type II ต่อมาเพื่อเป็นเกียรติแก่ Mobitz สิ่งนี้จึงได้รับการตั้งชื่อว่า "Mobitz type I” และ "Mobitz type II" นั่นเอง

Karel Frederik Wenckebach (1864-1940)


เกิดวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1864 ที่ The Hague ประเทศเนเธอร์แลนด์

เขาเรียนแพทย์ที่เมือง Utrecht ประเทศเนเธอร์แลนด์โดยเรียนวิชาสรีรวิทยาภายใต้แพทย์ชาวเยอรมัน Theodor Wilhelm Engelmann (1843–1909)

เขาจบ doctor of medicine ในปี ค.ศ. 1888 ด้วยวิทยานิพนธ์ชื่อ “Over den bouw en de ontwikkeling der Bursa-Fabricii

ค.ศ. 1899 เขารายงานการค้นพบ Wenckebach phenomenon

ค.ศ. 1901 เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์และดำรงตำแหน่งประธานภาควิชาอายุรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Groningen ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปีนี้เองที่เขาตีพิมพ์ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ “Die Arhythmie als Ausdruck bestimmter Funktionsstorungen des Herzens

ค.ศ. 1906 เขาค้นพบ middle tract ที่ออกจาก SA node ไปยัง AV node เรียกว่า Wenckebach's bundle ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของ internodal pathways (ที่เหลืออีก 3 คือ posterior tract หรือ Thorel's pathway และ anterior tract ที่มี 2 แขนงคือ Bachmann's bundle กับ descending branch)

เขาเป็นเจ้าของ Wenckebach’s sign ซึ่งเป็น paradoxical movement ของทรวงอกในผู้ป่วย chronic mediastinopericarditis

ค.ศ. 1911 เขาไปเป็นศาสตราจารย์และดำรงตำแหน่งประธานภาควิชาอายุรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศส

เขาเป็นคนริเริ่มใช้ quinidine เป็น anti-arrhythmic drug ซึ่งเขาใช้รักษาผู้ป่วย atrial fibrillation เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1914

ค.ศ. 1914 เขาไปเป็นศาสตราจารย์และดำรงตำแหน่งประธานภาควิชาอายุรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ปีนี้เองเขาตีพิมพ์ผลงานที่สำคัญอีกชิ้นคือ “Die unregelmassige Herztatigkeit und ihre Klinische Bedeutung” (ต่อมาปรับปรุงและตีพิมพ์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1927)

แม้จะเป็นผู้มีความรู้มากแต่เขาเป็นผู้บรรยายที่น่าเบื่อ เป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียนแพทย์เป็นคำคล้องจองว่า “Beim Herrn Professor Wenckebach, sind nur die ersten Banke wach!” แปลว่า “When listening to Wenckebach, only the first row can stay awake!

เขาลาออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 1929 และต่อมาเสียชีวิตที่กรุงเวียนนาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940

ไม่มีความคิดเห็น: