Robert Edward Gross (1905-1988)
เกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1905 ที่ Baltimore, Maryland ประเทศสหรัฐอเมริกา
เขาเป็นบุตรคนที่เจ็ดในบรรดาแปดคนของ Charles Jacob กับ Emma Houch Gross บิดาของเขาเป็นผู้จัดการของบริษัทผลิตเปียโน Stieff Piano Company
สมัยเด็กเขาไปส่องกล้องที่ประภาคารทำให้ทราบว่าตาของเขามองเห็นเพียงข้างเดียว (เขาเป็นต้อกระจกแต่กำเนิด) บิดาของเขาให้นาฬิกาแก่เขาเพื่อแยกส่วนและประกอบเข้าด้วยกันใหม่ เพื่อฝึกฝนการรับรู้ความลึกด้วยตาข้างเดียว
เขาเรียนมัธยมที่ Baltimore Polytech High School ช่วงวันหยุดฤดูร้อนเขาเดินทางไปทำงานที่ฟาร์มใน Minnesota ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับสิ่งมีชีวิตและวิถีธรรมชาติแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ประสบการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้เขาเข้าเรียนเคมีที่ Carleton College ใน Northfield, Minnesota เขาได้ของขวัญคริสต์มาสจากเพื่อนเป็นหนังสือชีวประวัติของ Sir William Osler (1849–1919) โดย Harvey Williams Cushing (1869-1939) หลังอ่านหนังสือดังกล่าวเขาก็ตัดสินใจที่จะเรียนแพทย์
ช่วงที่เรียนนี้เขาแต่งงานกับ Mary Lou Orr ลูกสาวของศัลยแพทย์ ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสองคนคือ Marcie Moore และ Edith Smith
เมื่อจบจาก Carleton ในปี ค.ศ. 1927 เขาก็เข้าเรียนแพทย์ที่ Harvard Medical School เนื่องจาก Cushing เป็นอาจารย์สอนอยู่ โดย Gross จบแพทย์ในปี ค.ศ. 1931
ค.ศ. 1938 เขาเป็นหัวหน้า resident ศัลยศาสตร์ภายใต้กุมารศัลยแพทย์ชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง William Edwards Ladd (1880-1967) ที่ Boston Children's Hospital
ปีนั้นเองเขาร่วมกับกุมารแพทย์ชาวอเมริกัน John Perry Hubbard (1903-1990) ศึกษาในสัตว์ทดลองและคิดค้นการรักษา patent ductus arteriosis (PDA) ด้วยการผูก พวกเขาขออนุญาตทำกับผู้ป่วยจริง ๆ แต่ Ladd ตอบอย่างหนักแน่นว่า “NO: we don't touch the heart."
เมื่อ Ladd ลาพักผ่อนหนึ่งสัปดาห์ Thomas Lanman รักษาการหัวหน้าศัลยศาสตร์เป็นโอกาสให้ Gross ขออนุญาตทำการผ่าตัดผูก PDA อีกครั้งซึ่ง Lanman อนุญาต
Gross ทำการผ่าตัดผูก PDA เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1938 แก่เด็กหญิงวัย 7 ขวบชื่อ การผ่าตัดประสบความสำเร็จอย่างดี ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 10 วันหลังผ่าตัด
ค.ศ. 1941 เขาร่วมกับ Ladd รายงานผู้ป่วยที่มี Jaundice, Hepatosplenomegaly, Fetor hepaticus สาเหตุจากมี atresia ของ bile ducts กลุ่มอาการนี้มีชื่อว่า Ladd-Gross syndrome
ค.ศ. 1941 เขาและ Ladd ตีพิมพ์ตำรากุมารศัลยศาสตร์เป็นเล่มแรก แม้จะทำงานร่วมกันแต่อย่างไรก็ตาม Ladd ไม่เคยให้อภัย Gross ที่ฉวยจังหวะทำการผ่าตัดที่เขาห้ามตอนเขาไม่อยู่
ค.ศ. 1947 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ต่อจาก Ladd
ค.ศ. 1954 Gross ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดแก้ไข coarctation of aorta เป็นครั้งแรก
ที่ผนังห้องผ่าตัดเขาแขวนป้ายที่มีข้อความว่า “IF AN OPERATION IS DIFFICULT YOU ARE NOT DOING IT PROPERLY” ซึ่งเป็นปรัชญาการทำงานของเขา
อดีตลูกศิษย์ของเขาคนหนึ่งต้องสูญเสียดวงตาไปหนึ่งข้างจาก melanoma เขาเขียนจดหมายไปให้กำลังใจว่าตลอดชีวิตการทำงานเขาผ่าตัดโดยใช้สายตาเพียงข้างเดียว (ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย)
Lorraine มาเยี่ยม Gross ครั้งสุดท้ายตอนเขาอายุ 58 ปี เขาบอกกับเธอว่า "you know Lorraine, if you didn't survive I would have ended up being a farmer.”
เขาเกษียณในปี ค.ศ. 1972 และเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขต้อกระจกแต่กำเนิดหลังเกษียณ
เขาเสียชีวิตด้วยโรคอัลไซเมอร์ที่บ้านใน Newfield, Plymouth, Massachusetts, Boston เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1988 (ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้สองปี)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น