Ernest Amory Codman (1869-1940)
เกิดวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1869 ที่บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเกิดในครอบครัว Boston Brahmin
เขาเรียนเบื้องต้นที่ Fay School ใน Southborough จากนั้นก็ไปเรียนต่อมัธยมที่ St. Mark's School ซึ่งอยู่ใน Southborough เช่นกัน
เขาเข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด ค.ศ. 1894 ขณะเป็นนักเรียนแพทย์เขาร่วมกับนักเรียนแพทย์อีกคนคือ Harvey Williams Cushing (1869–1939) พัฒนาแบบบันทึกชีพจร อุณหภูมิและการหายใจระหว่างผ่าตัดซึ่งช่วยในการเฝ้าระวังผู้ป่วยขณะให้ยาสลบ เรียกว่า “The ether chart” ซึ่งเป็นแบบบันทึกทางวิสัญญีวิทยาแบบแรก นวัตกรรมนี้ช่วยลดอัตราการตายจากการให้ยาสลบได้ ซึ่งต่อมากลายเป็นบันทึกมาตรฐานทางวิสัญญีวิทยา นอกจากนี้ตอน Codman ไปศึกษาที่เยอรมนี ได้เห็นการผ่าตัด rotator cuff และ subacromial bursa มากมายจึงสนใจในเรื่องหัวไหล่ตั้งแต่นั้นมา
เขาจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1895 และเริ่มทำเวชปฏิบัติที่โรงพยาบาลเด็กบอสตันในตำแหน่ง "skiagrapher" (คำว่า skia เป็นภาษากรีกแปลว่าเงา) เขาทำ atlas ของภาพถ่ายรังสีกะโหลกศีรษะปกติเป็นคนแรก (ปัจจุบันยังอยู่สามารถชมได้ที่ห้องสมุด Countway โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด)
วันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1899 เขาแต่งงานกับ Katherine P. Bowditch (1870-?) การสัมผัสกับรังสีเอกซ์ปริมาณมากทำให้เขาไม่มีบุตรและเป็นมะเร็งผิวหนังในเวลาต่อมา
เขาเป็นสตาฟแผนกศัลยศาสตร์ของโรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์และเป็นคนเริ่มทำ morbidity and mortality conferences ของที่นี่
ค.ศ. 1910 เขาก่อตั้ง American College of Surgeons ร่วมกับ Charles H. Mayo และ George W. Crile (ผู้ก่อตั้ง Cleveland Clinic)
มนุษย์ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ เขาจึงติดตามผู้ป่วยจนกระทั่งสิ้นสุดการรักษา (end result) โดยบันทึกความผิดพลาดในการวินิจฉัยและการรักษาไว้เพื่อนำไปปรับปรุงในการดูแลผู้ป่วยต่อไป
เนื่องจากโรงพยาบาลปฏิเสธแผนของเขาที่จะทำการประเมินความสามารถ (competence) ของศัลยแพทย์ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1911 เขาจึงลาออกไปก่อตั้งโรงพยาบาลของตัวเองในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเองใช้ชื่อว่า "End Result Hospital" เพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่อง "end results" ของเขาซึ่งเชื่ออย่างแรงกล้าในเรื่องการประเมินสมรรถนะเพื่อปรับปรุงการรักษา
ค.ศ. 1914 เขาสรุป end result ideaไว้ว่า “The common sense notion that every hospital should follow every patient it treats, long enough to determine whether or not the treatment has been successful, and then to inquire, “If not, why not?” with a view to preventing similar failures in the future.”
อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่คนแรกที่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เป็น Sir Thomas Percival (1740–1804) แพทย์ชาวอังกฤษที่กล่าวไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1803 ว่า "By the adoption of the register, physicians and surgeons would obtain clearer insight into the comparative success of their hospital and private practice; and would be incited to a diligent investigation of the causes of such difference. "
แนวคิดเรื่องคุณภาพของการรักษาของเขาไม่ได้รับความร่วมมือจากศัลยแพทย์มากนัก แต่ได้รับความสนใจจากนรีแพทย์ชาวฟิลาเดลเฟีย Edward Martin ทั้งสองร่วมกันก่อตั้ง Hospital Standardization Program โดย Codman เป็นประธาน การดำเนินการครั้งแรกมีโรงพยาบาลที่ผ่านการประเมินเพียง 89 จากทั้งหมด 692 โรงพยาบาล หลังการประกาศผลที่ Waldorf Astoria ในนิวยอร์ก รายงานก็ถูกเผาทิ้งเพื่อไม่ให้สาธารณชนรับทราบว่ามีโรงพยาบาลไหนบ้างที่ไม่ผ่าน ปัจจุบันองค์กรนี้ยังอยู่แต่พัฒนากลายมาเป็น Joint Commission on Accreditation of Healthcare Organizations (JCAHO)
วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1915 เขาเป็นประธานการประชุมของ Suffolk District Surgical Society (Boston อยู่ใน Suffolk County) ในที่ประชุมเขายืนขึ้นและนำเสนอภาพการ์ตูนซึ่งวาดขึ้นมาเอง เป็นภาพนกกระจอกเทศ (ostrich) ซึ่งศีรษะฝังอยู่ในดินที่ Beacon Hill ซึ่งเป็นพื้นที่มั่งคั่งของบอสตัน ส่วนขากำลังขุดดินเพื่อหาไข่ทองคำ หมายถึงศัลยแพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาลที่ไม่ใส่ใจในการทำ end result มัวแต่ละโมบหาเงินจากผู้ป่วยที่ร่ำรวย (คำว่า ostrich ยังมีความหมายไม่เป็นทางการว่าผู้หลบเลี่ยงปัญหา)
ปฏิกิริยาที่ได้รับคือแพทย์ส่วนใหญ่ลุกขึ้นและเดินออกไปด้วยอารมณ์โกรธ แพทย์ที่เหลือควบคุมอารมณ์ได้และเข้ามาขอให้เขาลาออกจากตำแหน่งประธาน
เขารวบรวมข้อมูลผู้ป่วย 337 รายที่เข้ารับการรักษาในช่วงปี ค.ศ. 1911 – 1916 พบว่ามีความผิดพลาด (error) 123 ครั้ง ค.ศ. 1917 เขาใช้ทุนส่วนตัวตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “A Study in Hospital Efficiency” ต่อมาเขาจัดทำรายงานคุณภาพของโรงพยาบาลประจำปีเผยแพร่แก่ผู้ป่วยและโรงพยาบาลใหญ่ ๆ (เพื่อท้าทายให้ทำตาม)
เช้าวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1917 เรือขนอาวุธ SS Mont Blanc ของฝรั่งเศสชนกับเรือ SS Imo ของนอร์เวย์ที่ Halifax Harbour ใน Nova Scotia ประเทศแคนาดา เป็นอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 คนและบาดเจ็บกว่า 9,000 คน Codman และพยาบาลของโรงพยาบาลเดินทางโดยรถไฟจากบอสตันไปช่วยเหลือเป็นเวลา 2 สัปดาห์
ไม่ช้าสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็รุกเข้าสู่สหรัฐฯ หลังกลับจาก Halifax เขาก็เข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ เขาประจำการที่ Camp Taylor รัฐเคนทักกีเป็นส่วนใหญ่ เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนทำให้มีทหารป่วยและตายเป็นจำนวนมาก งานของเขาคือดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ (ในวาระสุดท้ายของชีวิต)
หลังสิ้นสุดสงครามเขายังคงกระตุ้นให้แพทย์ทำ end result และไม่ค่อยได้ทำเวชปฏิบัติมากนักจึงมีรายได้น้อย
ต้นทศวรรษ 1920 ที่ฮาร์วาร์ดมอบห้องเล็ก ๆ ให้เขาเป็นห้องทำงาน เขาเริ่มทำ Registry of Bone Sarcoma ของสหรัฐฯเป็นครั้งแรก ด้วยความช่วยเหลือของพยาธิแพทย์ชาวอเมริกัน James Stephen Ewing (1866-1943) และแพทย์ชาวอเมริกัน Joseph Colt Bloodgood (1867–1935)
Ewing ค้นพบมะเร็งกระดูกที่เรียกว่า Ewing's sarcoma ในปี ค.ศ. 1921
ค.ศ. 1925 Codman ตีพิมพ์ตำราเล่มแรกของเขาชื่อ “Bone Sarcoma” เขาบรรยายถึงการยกของ periosteum เป็นรูปสามเหลี่ยมในผู้ป่วย Ewing’s sarcoma แม้ว่า Moritz Wilhelm Hugo Ribbert (1855–1920) พยาธิแพทย์ชาวเยอรมันที่มหาวิทยาลัย Bonn เป็นคนแรกที่ค้นพบสิ่งนี้ในปี ค.ศ. 1914 แต่มันก็ได้รับการตั้งชื่อว่า Codman's triangle หรือ Codman’s angle
นอกจากนี้เขายังบรรยายถึง “chondromatous epiphyseal giant cell tumors of the [proximal] humerus” ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Codman's tumor
ค.ศ. 1934 เขาตีพิมพ์ “The Shoulder: Rupture of the Supraspinatus Tendon and Other Lesions in or about the Subacromial Bursa” ซึ่งเป็นตำราเล่มแรกที่มีเนื้อหาเฉพาะหัวไหล่ทั้งเล่ม
แพทย์ชาวอเมริกันผู้นี้ยังมีผลงานมากมายได้แก่ Codman's classification, Codman's exercises, Codman's sign, Codman's cartilage lamp, Codman's drill, Codman's incision, Codman's saber-cut shoulder approach, Codman's shunt, Codman's sponge, Codman's vein stripper และ Codman's wire passing drill เป็นต้น
เขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งผิวหนัง melanoma เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 ศพของเขาถูกฝังที่สุสาน Mount Auburn ในเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์
ค.ศ. 1996 JCAHO สรรเสริญเขาด้วยการตีพิมพ์หนังสือชื่อ "Codman: A Study in Hospital Efficiency" และก่อตั้ง Ernest A. Codman Award เพื่อเป็นรางวัลมอบให้กับการนำการประเมินผลลัพธ์ (outcome measures) ไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพการรักษาผู้ป่วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น