Heinrich Hilgenreiner (1870-1954)
เกิดในครอบครัวชาวเยอรมันที่โบฮีเมีย (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐเชก) เมื่อปี ค.ศ. 1870
หลังจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยชาร์ลส์ในกรุงปรากเขาก็เทรนต่อด้านศัลยศาสตร์และเข้าร่วมกับคณะที่มหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1907
เขาเป็นเจ้าหน้าที่แพทย์ในกองทัพออสเตรียช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาก็ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชาร์ลส์และเป็นผู้อำนวยการของ Kinderklinik (คลินิกเด็ก)
แม้จะเป็นศัลยแพทย์แต่ความสนใจหลักของเขาคือผู้ป่วยเด็กที่เป็น congenital hip dislocation ซึ่งต่อมาเขาคิดค้นเส้นแนวนอนในแผ่นเอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยโรคนี้ในปี ค.ศ. 1925 เรียกว่า Hilgenreiner's line (เขาคลุกคลีอยู่กับเอกซเรย์จนเกิด X-ray dermatitis ที่มือทั้งสองข้าง)
หลังสงครามโลกครั้งที่สองเขาถูกจำคุกและถูกบีบบังคับให้ออกจากเชกไปอยู่ประเทศออสเตรียในปี ค.ศ. 1946 (ก่อนจะเสียชีวิตเขาได้กลับมาที่สาธารณรัฐเชกอีกครั้งในระยะสั้น ๆ)
เขาเสียชีวิตที่เมือง Spillern ใน Korneuburg ประเทศออสเตรียเมื่อปี ค.ศ. 1954
George Perkins (1892-1979)
เกิดวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1892 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เขาเรียนที่ Herstmonceux school, Hertford college, มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและโรงพยาบาล St. Thomas
เขาจบในปี ค.ศ. 1916 และเข้าร่วมหน่วยแพทย์ของกองทัพหลวงอังกฤษเป็นเวลาสองปีที่ East African Campaign เขาถูกจับเป็นเชลยสงครามที่เยอรมนี
เมื่อกลับมาอังกฤษเขาก็ปฏิบัติงานที่ Royal National Orthopedics Hospital ก่อนจะย้ายมาเทรนศัลยศาสตร์ภายใต้ Sir Percy Sargent (18731933) และ Sir Max Page (1882-1961) ศัลยแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่สองท่านแห่งโรงพยาบาล St. Thomas
ค.ศ. 1921 เขาได้รับ FRCS
เขาปฏิบัติงานที่ Military Orthopedic Hospital ใน Shepherd’s Bush ซึ่งได้ร่วมงานกับศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ชาวอังกฤษ Sir Robert Jones (1857-1933) และ Naughton Dunn (1844-1939)
ต่อมาเขาไปเป็นผู้ช่วยของ Rowley Bristow ที่ภาควิชาออร์โธปิดิคส์ของโรงพยาบาล St. Thomas ซึ่งพึ่งก่อตั้งใหม่
ค.ศ. 1928 เขาคิดค้นเส้นในแผ่นเอกซเรย์ซึ่งตั้งฉากกับ Hilgenreiner's line เพื่อช่วยวินิจฉัยโรค congenital hip dislocation เส้นนี้เรียกว่า Perkins’s line
กันยายน ค.ศ. 1939 เขาถูกเรียกตัวไปเข้าร่วมกองทัพอีกครั้ง แต่สุขภาพไม่ดีเขาจึงถูกส่งกลับบ้านในปี ค.ศ. 1940
เขาใช้เวลาฟื้นฟูสุขภาพในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจนอาการดีขึ้น ปี ค.ศ. 1944 เขาก็กลับมาเป็นสตาฟที่โรงพยาบาล Queen Mary ใน Roehampton
ค.ศ. 1946 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาออร์โธปิดิคส์ที่โรงพยาบาล St. Thomas ต่อจาก Rowley Bristow และในปี ค.ศ. 1948 ก็ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์คนแรกของที่นั่น
เขาครองตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาจนถึงปี ค.ศ. 1955 แต่ยังทำเวชปฏิบัติต่อจนกระทั่งเกษียณในปี ค.ศ. 1957
Perkins เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1979
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น