William Edwards Ladd (1880-1967)
เกิดวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1880 ที่ Milton, Norfolk, Massachusetts ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุตรชายของ William Jones Ladd (1844–1923) และ Anna Russel Watson (1843–1909)
วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1910 เขาแต่งงานกับ Helen Katharine Barton (27 เม.ย. 1880 – 27 ธ.ค. 1969) ที่ Worcester, Massachusetts ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสามคน บุตรชายหนึ่งคนคือ William Ladd (2 มิ.ย. 1911 – 18 ก.ค. 2009) กับบุตรสาวอีกสองคนคือ Nancy Ladd (1 ก.พ. 1914 - ?) และ Katharine Ladd
ค.ศ. 1910 เขาเป็น staff ที่ Boston Children's Hospital
ค.ศ. 1920 เขาคิดค้นการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติแต่กำเนิดหลายอย่าง รวมถึงค้นพบ Ladd’s bands ซึ่งเป็นแถบของ peritoneum ที่เชื่อมระหว่าง cecum กับ right lateral abdominal wall ทำให้เกิด obstruction ของ duodenum ได้ พบในภาวะ malrotation ของลำไส้ (เมื่อ duodenum อุดตันจะเห็นเป็น double bubble sign ในเอ๊กซเรย์) การผ่าตัดแก้ไขภาวะนี้เรียกว่า Ladd procedure
ค.ศ. 1936 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าศัลยศาสตร์ของ Harvard Medical School ต่อจาก James Stone
Millicent Lesley Collins หรือ Millie Collins ทารกเพศหญิงคลอดออกมาและมีความผิดปกติแต่กำเนิดที่เรียกว่า esophageal atresia with tracheoesophageal fistula ทำให้เธอกลืนอะไรไม่ได้เลย (จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร) พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 Ladd สร้างปาฎิหารย์ด้วยการทำ skin tube เชื่อมหลอดอาหารกับกระเพาะอาหารทำให้เธอรอดชีวิตได้เป็นคนแรกในโลก (เมื่ออาหารมาถึง skin tube ต้องช่วยบีบเค้นไล่ลงไปที่กระเพาะอาหาร) 4 ปีแรกของชีวิตเธอต้องอยู่ในโรงพยาบาลตลอด เมื่อได้ออกจากโรงพยาบาลก็ยังต้องอาศัยอยู่ใกล้ ๆ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ตอนอายุแปดขวบพ่อแม่ของเธอหย่าร้างกัน มีผู้รับเธอไปอุปการะ ต่อมาเธอได้รับชื่อใหม่เป็น Millicent Ladd Konian เธอภูมิใจกับชื่อใหม่มากโดยเฉพาะชื่อกลาง
ค.ศ. 1941 Ladd ร่วมกับ Gross รายงานผู้ป่วยที่มี Jaundice, Hepatosplenomegaly, Fetor hepaticus สาเหตุจากมี atresia ของ bile ducts กลุ่มอาการนี้มีชื่อว่า Ladd-Gross syndrome
ค.ศ. 1941 เขาและ Gross ตีพิมพ์ตำรากุมารศัลยศาสตร์เป็นเล่มแรก
เขาเกษียณในปี ค.ศ. 1947 และ Gross ก็มารับตำแหน่งศาสตราจารย์ต่อจากเขา
Ladd เสียชีวิตด้วยอายุ 86 ปีเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1967 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งกุมารศัลยศาสตร์ (Father of pediatric surgery)
ค.ศ. 1985 Millie เกิดเจ็บที่หลอดอาหาร เธอไปตรวจและพบว่ามี polyp ใน skin tube โรงพยาบาลประจำท้องถิ่นไม่สามารถรักษาได้จึงส่งต่อไปยัง Boston Children's Hospital เธอได้กลับมาเยือนโรงพยาบาลเดิมอีกครั้งในวัย 45 ปี
การผ่าตัด polyp ผ่านไปด้วยดี แต่การตรวจเพิ่มเติมพบว่า skin tube มีสัญญาณของการฉีกขาด แพทย์จึงทำการผ่าตัดเอาออกและทำหลอดอาหารให้ใหม่โดยใช้ลำไส้ใหญ่ การผ่าตัดประสบความสำเร็จแต่ผลชิ้นเนื้อ skin tube พบมะเร็ง เธอจึงต้องเข้ารับการฉายแสงต่อ ทีมแพทย์นำโดย Samuel Schuster ได้ยืดชีวิตของเธอออกไปอีกครั้ง
เธอแต่งงานกับ Bob และมีลูกชายด้วยกันสองคน
Cameron Haight (1901-1970)
เกิดเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1901
เขาจบแพทย์จากฮาร์วารด์ในปี ค.ศ. 1927
เขาเป็นศัลยแพทย์ชาวอเมริกันผู้ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดรักษา Esophageal atresia with Tracheoesophageal fistula ด้วยการปิด fistula และเชื่อมต่อหลอดอาหารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1941 โดยผู้ป่วยเป็นเด็กหญิงอายุ 12 วันชื่อ Judith Mathews
การผ่าตัดช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวไปจนกระทั่ง Haight เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1970
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น