วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MMM(94) Plain film of skull

เอกซเรย์ plain film ของกะโหลกศีรษะเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญทางการแพทย์หลายท่านเลยทีเดียว หลายคนคงเคยเอ่ยชื่อของท่านโดยไม่รู้ตัว วันนี้ผมจะแนะนำท่านเหล่านั้นให้ได้รู้จักกัน

Eugene Wilson Caldwell (1870-1918)


เกิดวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1870 ที่เมือง Savannah รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ

เป็นบุตรชายของ William กับ Camilla (Kellogg) Caldwell

หลังจบมัธยมครอบครัวของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่เมือง Concordia รัฐแคนซัส

เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นวิศวกรไฟฟ้าจึงเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งแคนซัสใน Lawrence ตอนอายุ 17 ปีและจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1892 แม้การงานจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีแต่เขาไม่ประทับใจกับงานที่ได้รับมากนัก

ค.ศ. 1897 เอกซเรย์พึ่งเริ่มได้รับความสนใจและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาหันมาศึกษาและพัฒนาอุปกรณ์ในด้านนี้แทน เนื่องจากเล็งเห็นว่ามันมีประโยชน์ทางการแพทย์ในการตรวจกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขาจึงไปเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์เพิ่มเติม

ไป ๆ มา ๆ ในที่สุด ค.ศ. 1902 เขาก็ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนแพทย์ที่วิทยาลัยแพทย์โรงพยาบาล Bellevue

ค.ศ. 1903 เขาร่วมกับตจแพทย์ชาวอเมริกัน William Allen Pusey (1865–1940) ตีพิมพ์ตำราชื่อ “The Practical Application of the Röntgen Rays in Therapeutics and Diagnosis” เป็นครั้งแรก ซึ่งปรับปรุงและตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 2 ในปีต่อมา หนังสือนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในตำราที่มีคุณค่าที่สุดในยุคบุกเบิกของวิชารังสีวิทยา

Caldwell จบแพทย์ในปี ค.ศ. 1905

ค.ศ. 1907 เขาตีพิมพ์บทความชื่อ “Skiagraphy of the Accessory Sinuses of the Nose” นำเสนอท่าถ่ายภาพรังสีของศีรษะที่ต่อมารู้จักกันในชื่อ Caldwell view

เขามีแผลที่นิ้วชี้มือซ้ายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1897 ที่เริ่มสัมผัสเอกซเรย์ ค.ศ. 1907 ผลการตรวจบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง ศัลยแพทย์จึงทำ excision และ skin graft อย่างไรก็ตามนิ้วมือของเขายังมีแผลอยู่เรื่อย ๆ จนศัลยแพทย์แนะนำให้ทำ amputation ในที่สุด

เขาพัฒนารังสีวินิจฉัยอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเสียชีวิตจากผลข้างเคียงของเอกซเรย์ในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1918 ที่โรงพยาบาล Roosevelt ในนิวยอร์ก

Charles Alexander Waters (1888-1961)


เกิดวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1888 ที่บัลติมอร์ ประเทศสหรัฐฯ

เป็นบุตรคนเดียวของ Garrett Davis Waters (1861–1922) กับ Helen L. Gould (1865-1928)

เขาจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งแมรีแลนด์ในปี ค.ศ. 1911 และเป็นสตาฟที่จอห์นฮอปกินส์

ค.ศ. 1915 เขาร่วมกับรังสีแพทย์ชาวอังกฤษ C. W. Waldron ตีพิมพ์บทความชื่อ “Roentgenology of the accessory nasal sinuses describing a modification of the occipito-frontal position” นำเสนอท่าถ่ายภาพรังสีของศีรษะที่ต่อมารู้จักกันในชื่อ Waters’ view

Waters เป็นร้อยโทของ Medical Reserve Corps และไปยังฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งช่วงปี ค.ศ. 1917 – 1918

เขาเสียชีวิตในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1961

ค.ศ. 1950 D. B. McGrigor ร่วมกับ W. Campbell ตีพิมพ์บทความชื่อ “The radiology of war injuries Part VI: wounds of the face and jaw” และ ค.ศ. 1977 Campbell ตีพิมพ์บทความชื่อ “Radiological evaluation of facial fractures” นำเสนอเส้นสมมติในภาพถ่ายรังสี Waters’ view 4 เส้น เรียกว่า Campbell’s line หรือ McGrigor’s line (ต่อมา ค.ศ. 1985 David H. Trapnell เสนอเพิ่มอีกเส้นที่ขอบล่างของ mandible เป็นเส้นที่ 5 เรียกว่า Trapnell’s line)

ค.ศ. 1984 Kenneth D. Dolan ร่วมกับ Charles G. Jacoby และ Wendy R. K. Smoker ตีพิมพ์บทความชื่อ “The radiology of facial fractures” นำเสนอเส้นสมมติในภาพถ่ายรังสีที่แสดงขอบของโครงสร้างสำคัญของใบหน้า 3 อย่างที่เห็นได้ชัดใน Waters’ view ดังรูป สิ่งนี้เรียกว่า Line of Dolan ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่า

Lee Rogers เป็นคนให้ข้อสังเกตว่า line of Dolan เส้นที่ 2 และ 3 นั้นประกอบกันเป็นรูปช้าง จึงมีชื่อเรียกว่า elephant of Rogers

E. B. Towne

ค.ศ. 1926 ตีพิมพ์บทความชื่อ Erosion of petrous bone by acoustic nerve tumor” นำเสนอท่าถ่ายภาพรังสีของศีรษะที่ต่อมารู้จักกันในชื่อ Towne’s view


ไม่มีความคิดเห็น: