วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MMM(72) pancreatoduodenectomy

History of pancreatoduodenectomy

การผ่าตัดรักษา periampullary cancer พึ่งพัฒนาขึ้นในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานี้เอง

ค.ศ. 1898 ศัลยแพทย์ชาวอิตาลี Alessandro Codivilla (1861–1912) ทำการตัดส่วนหัวของตับอ่อนเป็นคนแรก แต่ผู้ป่วยเสียชีวิตหลังผ่าตัด

ค.ศ. 1899 William Stewart Halsted (23 ก.ย. 1852 – 7 ก.ย. 1922) ศัลยแพทย์ชาวอเมริกันที่โรงพยาบาลจอห์นฮอปกินส์รายงานความสำเร็จในการผ่าตัดรักษาโรคนี้เป็นครั้งแรก โดย approach ผ่านทาง duodenum เข้าไปตัดเนื้องอกและต่อท่อน้ำดีกับท่อตับอ่อนเข้า duodenum แต่สามเดือนต่อมาผู้ป่วยเกิดดีซ่านจึงต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อทำ cholecystoduodenostomy หกเดือนต่อมาผู้ป่วยก็เสียชีวิต ผลการชันสูตรเป็นมะเร็งกลับมาอีกและรุกล้ำเข้าไปยังส่วนหัวของตับอ่อนและ duodenum

วันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1909 ศัลยแพทย์ชาวเยอรมัน Walther Carl Eduard Kausch (1867-1928) ประสบความสำเร็จในการผ่าตัด two-stage pancreatoduodenectomy เป็นครั้งแรกในผู้ป่วยชื่อ Ernst G. ซึ่งเป็น periampullary cancer การผ่าตัดกินเวลาสี่ชั่วโมงแต่ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นาน 9 เดือนก่อนจะเสียชีวิตจาก cholecystoenterostomy เขารายงานเรื่องนี้ในปี ค.ศ. 1912

ค.ศ. 1914 Georg Hirschel (1875–1963) ที่ไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนีประสบความสำเร็จในการผ่าตัด one-stage pancreatoduodenectomy เป็นครั้งแรก ผู้ป่วยมีชีวิตนานหนึ่งปีหลังผ่าตัด

25 ปีหลังความสำเร็จของ Kausch ค.ศ. 1934 ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน Allen Oldfather Whipple (1881-1963) ประสบความสำเร็จในการผ่าตัด two-stage pancreatoduodenectomy แบบใหม่เป็นครั้งแรก เขารายงานเรื่องนี้ในปี ค.ศ. 1935 หลังจากผ่าตัดผู้ป่วยไป 3 ราย

ค.ศ. 1937 Alexander Brunschwig (11 ก.ย. 1901 ? ? 1969) ศัลยแพทย์ชาวเยอรมันที่มหาวิทยาลัยแห่งชิคาโกทำ two-stage pancreatoduodenectomy ในผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนเป็นครั้งแรก

Whipple เริ่มทำการผ่าตัดแบบ one-stage pancreatoduodenectomy ในปี ค.ศ. 1940

หลังจากนั้นเทคนิคการผ่าตัดก็ได้มีการปรับปรุงเรื่อยมา เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้บุกเบิกการผ่าตัดนี้จึงมีชื่อว่า Whipple procedure หรือ Kausch-Whipple procedure


Walther Carl Eduard Kausch (1867-1928)


เกิดวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1867 ที่เมือง Königsberg ในปรัสเซีย (ปัจจุบันคือ Kaliningrad, ประเทศรัสเซีย)

ค.ศ. 1885 เขาเข้าเรียนแพทย์ที่ Friedrich-Wilhelm-Universität ใน Strassburg เขาได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1890 และได้รับ doctorate ในปี ค.ศ. 1891

ค.ศ. 1890 - 1892 เขาทำงานที่ pscychiatric-neurologic clinic ภายใต้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาทชาวเยอรมัน Friedrich Jolly (1844-1904) และ Karl Fürstner (1848-1906)

ค.ศ. 1892 - 1896 เขาทำงานที่คลินิกภายใต้แพทย์ชาวเยอรมัน Bernhard Naunyn (1839-1935)

หลังเป็น habilitated ด้านอายุรศาสตร์ในปี ค.ศ. 1896 เขาก็เปลี่ยนไปศึกษาต่อด้านศัลยกรรม ค.ศ. 1896 เขาเทรนที่คลินิกศัลยกรรมของมหาวิทยาลัยใน Breslau ภายใต้ศัลยแพทย์ชาวโปแลนด์ Johannes Freiherr von Mikulicz-Radecki (1850-1905)

เขาเป็น habilitated ด้านศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1899 และเป็น titular professor ในปี ค.ศ. 1902

ค.ศ. 1903 เขาแต่งงานกับบุตรสาวของ Mikulicz

ค.ศ. 1905 หลังจากพ่อตาเสียชีวิต เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการด้านการแพทย์และหัวหน้าแผนกศัลยกรรมของ Städtisches Augusta-Viktoria-Krankenhaus ใน Berlin-Schöneberg โดยครองตำแหน่งนี้จนกระทั่งเสียชีวิต

21 สิงหาคม ค.ศ. 1909 เขาประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการผ่าตัด two-stage pancreatoduodenectomy

เขาเสียชีวิตเมื่อ 24 มีนาคม ค.ศ. 1928 ที่กรุงเบอร์ลินจาก fulminant pulmonary embolism หลังไส้ติ่งแตก


Allen Oldfather Whipple (1881-1963)


เกิดวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1881 ที่เมือง Urmia ในเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน)

เขาเป็นบุตรชายของ William Levi Whipple (1845-1901) กับ Mary Louise Allen (1850-1937) ทั้งสองเป็นมิชชันนารีที่อาร์เซอร์ไบจานและประเทศอิหร่าน

ครอบครัวของเขาย้ายกลับสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1896

ค.ศ. 1900 เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันจนถึงปี ค.ศ. 1904 แล้วเรียนต่อแพทย์ที่วิทยาลัยแพทย์และศัลยแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย รัฐนิวยอร์กและจบในปี ค.ศ. 1908 จากนั้นก็เทรนที่โรงพยาบาล Roosevelt และโรงพยาบาล Sloan

เขาเริ่มทำงานด้านศัลยกรรมในปี ค.ศ. 1910 หนึ่งปีต่อมาก็ได้รับตำแหน่งที่วิทยาลัยแพทย์และศัลยแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและเป็นสตาฟที่โรงพยาบาล Presbyterian

26 กันยายน ค.ศ. 1912 เขาแต่งงานกับ Mary Neales ในเมือง Falmouth, Barnstable แมสซาชูเซตส์

ค.ศ. 1921 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านศัลยกรรมที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและต่อมาได้เป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาล Presbyterian

ทศวรรษ 1930 เขาตั้ง Whipple’s triad เพื่อใช้ในการวินิจฉัยเนื้องอก Insulinoma ซึ่งปัจจุบันมีการประยุกต์ไปใช้วินิจฉัยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากสาเหตุอื่น ๆ ด้วย

วันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1934 เขาทำ Whipple procedure ครั้งแรกกับผู้ป่วยหญิงวัย 60 ปีที่เป็น ampullary cancer ซึ่งตอนแรกถูกประเมินว่าไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่ปรากฏว่าผู้ป่วยเสียชีวิต 30 ชั่วโมงหลังผ่าตัด ผลการชันสูตรพบว่า duodenal anastomosis รั่วจาก catgut ละลายเพราะโดนน้ำย่อย (ในเรื่องนี้แพทย์ประจำบ้านอาวุโส Hap Mullins ถามเขาว่าทำไมไม่ใช้ silk เพราะประสบความสำเร็จดีกว่า)

วันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1934 เขาผ่าตัดผู้ป่วยรายที่สองเป็นชายวัย 53 ปี การผ่าตัดครั้งนี้ประสบความสำเร็จผู้ป่วยมีชีวิตนาน 8 เดือนก่อนจะเสียชีวิตจาก cholecystogastrostomy ตีบ ตามมาด้วย cholangitis และติดเชื้อในกระแสเลือด

วันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 เขาผ่าตัดผู้ป่วยรายที่สามเป็นชายวัย 49 ปี ผู้ป่วยรายนี้อยู่ได้นาน 25 เดือนก่อนจะเสียชีวิตจากมะเร็งกระจายไปที่ตับ

วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1940 เกิดความผิดพลาดในการวินิจฉัยก่อนผ่าตัดจากมะเร็งของ gastric antrum แต่เมื่อผ่าตัดเข้าไปพบว่าเป็นเนื้องอกของส่วนหัวของตับอ่อน เขาจึงทำการผ่าตัดแบบ one-stage pancreatoduodenectomy เป็นครั้งแรก ผู้ป่วยรายนี้มีชีวิตอยู่ได้ 9 ปีก่อนจะเสียชีวิตจากมะเร็งกระจายไปที่ตับ

ค.ศ. 1946 เขาเกษียณในตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติคุณ

ค.ศ. 1956 เขากลับไปยังประเทศที่เขาเกิดและเป็นผู้นำในการพัฒนาศูนย์การแพทย์ Nemazee ที่ Shiraz ประเทศอิหร่าน

เขาเสียชีวิตเมื่อ 6 เมษายน ค.ศ. 1963 ที่พรินซ์ตัน, Mercer รัฐนิวเจอร์ซีย์

ศพของเขาถูกฝังในสุสานของครอบครัวที่เมือง Wilton รัฐคอนเนตทิคัต


William “Bill” Polk Longmire, Jr. (1913-2003)


เกิดวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1913 ที่เมือง Sapulpa รัฐโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐฯ

บิดาของเขาเป็นแพทย์ชุมชน ส่วนมารดาเป็นครู

เขาเรียนที่ Sapulpa High School และเรียนต่อที่วิทยาลัยของมหาวิทยาลัยแห่งโอคลาโฮมาซึ่ง Aute Richards หัวหน้าภาควิชาสัตววิทยาเห็นแววของเขาจึงแนะนำให้เรียนต่อแพทย์ที่จอห์นฮอปกินส์

หลังจบจากมหาวิทยาลัยแห่งโอคลาโฮมาในปี ค.ศ. 1934 เขาก็สมัครเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ในบัลติมอร์ เขาจบแพทย์ด้วยคะแนนสูงสุดของรุ่นและได้รับเลือกเป็น Alpha Omega Alpha

จากนั้นเขาก็เรียนต่อด้านศัลยกรรมภายใต้ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน Alfred Blalock (1899–1964) แต่บิดาของเขาเกิด stroke จนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาตัดสินใจหยุดการเทรนแล้วกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อทำงานของบิดาต่อเป็นเวลาสองปีจนท่านฟื้นตัวกลับมาได้ เขากล่าวถึงเรื่องนี้ว่าการได้ทำเวชศาสตร์ครอบครัวเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเรียนแพทย์

เมื่อเขากลับมาปรากฏว่าตำแหน่งแพทย์ประจำบ้านเต็มจึงต้องเว้นช่วงไประยะหนึ่งถึงได้ เทรนต่อ เขาเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งตอน Blalock ทำการผ่าตัด Blalock-Taussig shunt ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1944

เขาจบในปี ค.ศ. 1945 และตั้งใจจะเทรนต่อด้านศัลยกรรมทรวงอกแต่ไม่มีตำแหน่งว่าง อย่างไรก็ตาม Blalock ต้องการให้เขาอยู่ต่อจึงมอบตำแหน่งรองศาสตราจารย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งให้ ค.ศ. 1948 ที่มหาวิทยาลัยแห่ง California, Los Angeles (UCLA) เปิดโรงเรียนแพทย์แห่งใหม่เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ด้วยวัยเพียง 34 ปีและครองตำแหน่งนี้จนถึงปี ค.ศ. 1976

วันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1947 เขาทำ intrahepatic cholangiojejunostomy (Longmire I operation) เป็นครั้งแรกในผู้ป่วยหญิงวัย 54 ปี

วันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1951 เขาทำ jejunal interposition after total gastrectomy (Longmire II operation) เป็นครั้งแรกร่วมกับ J. M. Beal จึงมีอีกชื่อว่า Beal-Longmire operation

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1977 เขาประสบความสำเร็จในการทำ pylorus-sparing pancreatoduodenectomy (Longmire III operation) เป็นครั้งแรกในผู้ป่วยชายวัย 41 ปีร่วมกับ L. William Traverso จึงมีอีกชื่อว่า Traverso-Longmire procedure

เขาแต่งงานกับ Jane Cornelius Longmire ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสองคนคือ Sarah Jane Longmire Cook และ Gil Longmire

เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2003

ไม่มีความคิดเห็น: