Sir Charles Bell
(1774-1842)
เกิดวันที่ 12 พฤศจิกายน
ค.ศ. 1774 ที่กรุงเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์
เป็นบุตรชายคนที่สี่ของบาทหลวง William Bell
(1704-1779) เป็น Episcopalian minister ใน
Church of Scotland กับภรรยาคนที่สอง Margaret Morice [บุตรชายคนที่สามคือ
George Joseph Bell (1770-1843) เป็นนักกฎหมาย บุตรชายคนที่สองคือ John Bell
(1763-1820) เป็นศัลยแพทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งศัลยศาสตร์หลอดเลือดยุคใหม่ร่วมกับศัลยแพทย์ชาวสกอต
John Hunter (1728-1793) และศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศส Pierre-Joseph Desault (1738-1795)]
เนื่องจากบิดาเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุ
5 ขวบบุคลิกภาพจึงได้รับอิทธิพลจากมารดาเป็นหลักคืออารมณ์อ่อนไหวและมีความสุนทรีแบบศิลปิน
เขาเรียนที่โรงเรียนมัธยมเอดินบะระโดยมารดาให้เรียนพิเศษด้านศิลปะกับจิตรกรชาวสกอต
David
Allan (1744-1796) ด้วย ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระตามแรงผลักดันของพี่ชาย ขณะเป็นนักเรียนแพทย์เขาได้ช่วยพี่ชายสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ที่โรงเรียนกายวิภาคศาสตร์ของพี่ชายเอง นอกจากนี้ยังตีพิมพ์ตำราด้านกายวิภาคศาสตร์อีกด้วย
ค.ศ. 1799 เขาจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระและได้รับเลือกเป็นสมาชิกของวิทยาลัยศัลยแพทย์เอดินบะระ เริ่มทำงานเป็นศัลยแพทย์ที่ Royal infirmary โดยฝีมือด้านศัลยศาสตร์ไม่แพ้ด้านกายวิภาคศาสตร์เลย
เขาร่วมกับพี่ชายตีพิมพ์ตำรา “Anatomy of the
human body” volume 3 และ 4 ในปี ค.ศ. 1802 และ 1803 ตามลำดับ โดย Charles
รับผิดชอบในส่วนของเส้นประสาท อวัยวะรับความรู้สึกและอวัยวะภายใน
ผลงานด้านกายวิภาคศาสตร์ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ประจักษ์ ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้หลายคนในคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเอดินบะระเกิดความอิจฉาและกีดกันพี่น้อง Bell ไม่ให้ได้รับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยรวมถึงที่
Royal infirmary
George Joseph Bell แนะนำให้พวกเขาไปเสี่ยงโชคที่กรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ พฤศจิกายน ค.ศ. 1804 ทั้งสองจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอน
หลังไม่ได้รับตำแหน่งถาวรในสถาบันใด ๆ ค.ศ.
1805 Charles
ตัดสินใจซื้อบ้านเก่าที่ถนน Leceister ในจัตุรัส
Leceister ก่อตั้งโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์เป็นของตัวเอง
ค.ศ. 1807 John Shaw
(1792-1827) จากเมือง Ayr ประเทศสกอตแลนด์ถูกส่งมาเรียนกับ
Charles ที่กรุงลอนดอน
ต่อมาเป็นผู้ช่วยของ Charles ที่โรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์
Great Windmill Street
ค.ศ. 1811 Charles ตีพิมพ์ตำรา “An Idea of a New Anatomy of the brain”
ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “มหากฎบัตรแห่งประสาทวิทยา (Magna
Carta of Neurology)” ในตำราได้กล่าวถึงกายวิภาคศาสตร์ของไขสันหลังว่ามี
nerve root สองเส้นคือ dorsal กับ ventral
เมื่อกระตุ้น ventral root จะเกิดกล้ามเนื้อกระตุกแต่เมื่อกระตุ้น
dorsal root ไม่เกิดอะไรขึ้น (สาเหตุเป็นเพราะศึกษาในศพ)
วันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1811
เขาแต่งงานกับ Marion
Shaw (น้องสาวของ Barbara Shaw ซึ่งเป็นภรรยาของ
George Joseph Bell และเป็นพี่สาวของ John Shaw ลูกศิษย์ของเขานั่นเอง) หลังแต่งงานได้ย้ายไปอยู่ที่จัตุรัส
Soho ทั้งสองไม่มีบุตรด้วยกัน
ค.ศ. 1812 เขาใช้สินสอดทองหมั้นที่ภรรยายกให้ซื้อโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์
Great
Windmill Street จากนักกายวิภาคศาสตร์ชาวสกอต James Wilson
(1765-1821) [โรงเรียนนี้ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1767 โดยแพทย์ชาวสกอต William
Hunter (1718-1783) ซึ่งเป็นพี่ชายของ John Hunter]
ค.ศ. 1814
เขาได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาล Middlesex
มิถุนายน ค.ศ. 1815
เกิดการรบที่สมรภูมิ Waterloo
เมื่อทราบข่าววันที่ 30 มิถุนายนเขาก็รีบเดินทางไปบรัสเซลส์พร้อม John
Shaw ในเวลา 8
วันเขาผ่าตัดตั้งแต่เช้าจนดึกรักษาผู้บาดเจ็บไปเป็นร้อยราย
ค.ศ. 1821 เขาบรรยายผู้ป่วยใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกโดยไม่ทราบสาเหตุ
(ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Bell’s palsy)
ปีเดียวกันนั้นเอง John Shaw ได้ไปเผยแพร่ผลงานของ
Charles ที่ประเทศฝรั่งเศส
François Magendie (1783–1855)
นักสรีรวิทยาชาวฝรั่งเศสที่ Bordeaux รับทราบงานของ
Charles จาก John Shaw ค.ศ. 1822 Magendie จึงทำการทดลองในลูกสุนัขที่ยังมีชีวิตพบว่าเมื่อกระตุ้น
ventral root ของไขสันหลังจะเกิดการเคลื่อนไหวและเมื่อกระตุ้น
dorsal root จะเกิดความเจ็บปวดจึงสรุปว่า ventral
root เป็น motor function ส่วน dorsal
root นั้นเป็น sensory function
เนื่องจาก Charles ค้นพบกฎนี้คนแรกแต่เพียงครึ่งเดียว ส่วน Magendie ค้นพบกฎนี้อย่างสมบูรณ์แต่การทดลองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการทารุณสัตว์ ประกอบกับในศตวรรษที่ 19
อังกฤษและฝรั่งเศสมีความขัดแย้งทางการเมืองกันอยู่จึงพยายามตั้งชื่อกฎนี้เพื่อเป็นความภาคภูมิใจของชาติตน
ท้ายที่สุดกฎนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Bell-Magendie law
นอกจากนี้เขายังมีผลงานอีกหลายอย่างอาทิ
Bell's
nerve (long thoracic nerve), Bell's phenomenon และ Bell's
spasm
ค.ศ. 1824 เขาเป็นคนแรกที่ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์และศัลยศาสตร์ของวิทยาลัยศัลยแพทย์ในกรุงลอนดอน
ค.ศ. 1826
เขาขายโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์ Great Windmill Street
ให้กับศัลยแพทย์ชาวอังกฤษสองคนคือ Herbert Mayo (1796-1852) กับ
Caesar Henry Hawkins (1798-1884)
ค.ศ. 1829 เขาเป็นคนแรกที่ได้รับเหรียญรางวัล
Royal Medal ด้านกายวิภาคศาสตร์จาก Royal Society
ค.ศ. 1831 เขาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir จากพระเจ้าวิลเลียมที่
4 (1765-1837)
ค.ศ. 1835
เขาตอบรับคำเชิญไปเป็นศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ที่เอดินบะระ
เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 เมษายน
ค.ศ. 1842 ที่ North Hallow ใน Worcestershire
ประเทศอังกฤษ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาระบบประสาทของมนุษย์
(pioneer in study of human nervous system)
เอกสารอ้างอิง
Gijn JV. Charles Bell (1774-1842). J Neurol
2011;258:1189-90.
Kazi RA, Rhys-Evans P. Sir Charles
Bell: The artist who went to the roots!. J Postgrad Med 2004;50:158-9.
Pearce JMS. Sir Charles Bell
(1774-1842). J R Soc Med 1993;86:353-4.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น