วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MMM(141) Watson-Williams forceps

Patrick Watson-Williams (1863-1938)


เกิดในปี ค.ศ. 1863 ที่ Clifton, Bristol ประเทศอังกฤษ

เป็นบุตรชายของนายแพทย์ E. Williams กับ Margaret Watson

เขาเรียนที่วิทยาลัย Clifton และโรงเรียนแพทย์ Bristol โดยได้รับ M.R.C.S. ในปี ค.ศ. 1884, M.B. จากมหาวิทยาลัยลอนดอนในปี ค.ศ. 1885 และ M.D. ในปี ค.ศ. 1890

เขาเริ่มทำเวชปฏิบัติที่ Bristol Royal Infirmary และสนใจในด้านกล่องเสียงวิทยา

ค.ศ. 1906 เขาก่อตั้งภาควิชาศอและนาสิก สี่ปีต่อมาก็นำโสตซึ่งอยู่ภายใต้ศัลยศาสตร์ทั่วไปเข้ามารวมในภาควิชาด้วยเป็ นโสต ศอและนาสิก นอกจากนี้เขายังเป็นผู้บรรยายเรื่องโรคทางโสต ศอ นาสิก ที่มหาวิทยาลัย Bristol จนกระทั่งปี ค.ศ. 1922

ค.ศ. 1901 เขาตีพิมพ์ตำรา Diseases of the Upper Respiratory Tract, the Nose, Pharynx and Larynx.

ค.ศ. 1910 เขาตีพิมพ์ตำรา Rhinology: A text-book of diseases of the nose and the nasal accessory sinuses.

ค.ศ. 1930 เขาตีพิมพ์ตำรา Chronic nasal sinusitis and its relation to general medicine

เขาช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอาวุโสคือ Sir Felix Semon (8 ธ.ค. 1849 – 1 มี.ค. 1921) โสตนาสิกแพทย์ชาวอังกฤษก่อตั้ง Laryngological Society of London ซึ่งต่อมากลายเป็น Larynological Section ของ Royal Society of Medicine

เขาเป็นที่รู้จักจากการคิดค้นอุปกรณ์ในการรักษาไซนัสอักเสบคือ Watson-Williams rasp และ Watson-Williams forceps หลายชนิดด้วยกัน

เขาเสียชีวิตในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 ที่บ้านเขาเองที่ Rodney Place, Clifton, Bristol

ค.ศ. 1939 มหาวิทยาลัย Bristol จัดตั้ง Watson-Williams Memorial Lecture เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

เอกสารอ้างอิงหลัก
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2210986/pdf/brmedj04225-0048 .pdf

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MMM(140) ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช (Vicharn Panich)

เกิดวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485

เป็นหลานชายของพระธรรมโกษาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) บุคคลสำคัญของโลกที่เรารู้จักกันในนาม ท่านพุทธทาสภิกขุ (นามเดิม เงื่อม พานิช)

พ.ศ. 2505-2509 เรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ปัจจุบันคือคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล)

พ.ศ. 2510-2511 เรียนวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขามนุษยพันธุศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา

สมรสกับ ศ.พญ. อมรา (เศวตวรรณ) พานิช มีบุตรธิดา 4 คน

พ.ศ. 2535 สมัยรัฐบาล ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุนได้ก่อตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือ The Thailand Research Fund (TRF) อาจารย์ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกของ สกว. และได้วางรากฐานการจัดการงานวิจัย (Research Management) ขึ้นในประเทศไทยจนได้รับการยอมรับให้ดำรงตำแหน่ง 2 วาระ (8 ปี)

หลังออกจาก สกว. อาจารย์ก็ได้ผลักดันเรื่องการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบระเบียบที่เรียกว่า Knowledge Management (KM) จนมีการก่อตั้งสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) หรือ The Knowledge Management Institute (KMI) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 โดยอาจารย์เป็นผู้อำนวยการของ สคส.

ปัจจุบันอาจารย์ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและนายกสภามหาวิทยา ลัยมหิดล

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MMM(139) Father of gastric physiology

William Beaumont (1785-1853)


เกิดวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1785 ที่เมืองเลบานอน รัฐคอนเนตทิคัต ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรคนที่สองในบรรดาเก้าคนของ Samuel กับ Lucretia Abel Beaumont

ค.ศ. 1809 เขาเริ่มเรียนแพทย์ภายใต้ Benjamin Moore แห่ง Champlain ต่อมา ค.ศ. 1811 ก็เรียนต่อภายใต้ Benjamin Chandler และ Truman Powell ใน St.Albans รัฐเวอร์มอนต์ ในที่สุด มิถุนายน ค.ศ. 1812 สมาคมแพทย์แห่งเวอร์มอนต์ก็รับรองให้เขาทำงานเป็นศัลยแพทย์

วันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1812 เขาไปเป็นผู้ช่วยศัลยแพทย์ในสงครามแห่งปี 1812 (war of 1812) หลังสิ้นสุดสงครามก็ลาออกจากกองทัพในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1815 และมาทำเวชปฏิบัติส่วนตัวใน Plattsburgh นิวยอร์ก เขารู้จักกับ Deborah Green Platt ที่นี่

ธันวาคม ค.ศ. 1819 เขากลับไปรับตำแหน่งศัลยแพทย์ในกองทัพบกโดยได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ป้อมปราการ Mackinac บนเกาะ Mackinac ของแม่น้ำ Huron (ปัจจุบันจัดอยู่ในรัฐมิชิแกน)

สิงหาคม ค.ศ. 1821 เขาออกจากป้อมมายัง Plattsburgh เพื่อแต่งงานกับ Deborah Green Platt ที่พึ่งหย่ากับ Nathaniel Platt จากนั้นก็กลับไปยังป้อมตามเดิม

วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1822 Alexis St. Martin (18 เม.ย. 1794 – 24 มิ.ย. 1880) ชาวแคนาดา-ฝรั่งเศสพนักงานบริษัท American Fur บนเกาะ Mackinac ถูกยิงเข้าที่ท้องโดยบังเอิญ เขาไปรักษากับ Beaumont เห็นแผลขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือผู้ชาย ปอด ซี่โครง 2 ซี่และกระเพาะอาหารได้รับบาดเจ็บจึงลงความเห็นว่าไม่รอดแน่ แต่ปรากฎว่าเขารอดชีวิต โชคร้ายที่เกิด fistula ระหว่างกระเพาะอาหารกับผิวหนังหน้าท้องทำให้ไม่สามารถทำงานให้บริษัท American Fur ต่อไปได้ เมษายน ค.ศ. 1823 Beaumont จึงว่าจ้างให้เขามาช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

สิงหาคม ค.ศ. 1825 Beaumont ย้ายไปยังป้อมปราการไนแอการาในนิวยอร์กและพา St. Martin ไปด้วย Beaumont ตระหนักถึงโอกาสในการศึกษากระบวนการย่อยอาหารจาก St. Martin จึงเริ่มทดลองโดยการผูกเนื้อสัตว์หย่อนลงไปในกระเพาะอาหารผ่านทาง fistula และทุก ๆ ชั่วโมงจะนำออกมาดูว่าอาหารถูกย่อยไปอย่างไร นอกจากนี้เขายังสกัดกรดในกระเพาะอาหารมาวิเคราะห์ด้วยจนพบว่าการย่อยในกระเพาะอาหารเกิดจากกระบวนการทางเคมีเป็นหลักไม่ใช่กระบวนการทางกลศาสตร์

ค.ศ. 1826-1827 เขาย้ายไปประจำที่ป้อมปราการ Howard ในกรีนเบย์ รัฐวิสคอนซิน หนึ่งปีต่อมา ค.ศ. 1828 ก็ย้ายไปยังเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี

ปลายปี ค.ศ. 1832 เขาลาออกจากกองทัพและย้ายไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

St. Martin ยอมให้ Beaumont ทำการวิจัยจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1833 ไม่ใช่เพื่อตอบแทนที่ช่วยชีวิตไว้แต่เพราะไม่รู้หนังสือจึงเซ็นสัญญาเป็นคนรับใช้ไป เขากลับไปยังประเทศแคนาดา ส่วน Beaumont กลับไปยัง Plattsburgh และตีพิมพ์ผลงานเป็นหนังสือชื่อ Experiments and Observations on the Gastric Juice, and the Physiology of Digestion.” (ตีพิมพ์ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1848)

กรกฎาคม ค.ศ. 1834 เขากลับเข้าทำงานในกองทัพอีกครั้งโดยประจำการที่ค่ายทหาร Jefferson เซนต์หลุยส์

ค.ศ. 1839 เขาจะถูกส่งไปยังสมรภูมิในรัฐฟลอริดาจึงขอลาออกจากกองทัพไปทำเวชปฏิบัติส่วนตัวที่เซนต์หลุยส์ เขาพยายามติดต่อให้ St. Martin ย้ายมายังเซนต์หลุยส์ตลอดแต่ก็ไม่มา

มีนาคม ค.ศ. 1853 ขณะเดินออกจากบ้านผู้ป่วยเขาเกิดลื่นบันไดศีรษะได้รับบาดเจ็บรุนแรง ต่อมาเลือดคั่งในสมองส่วน occipital เกิดติดเชื้อทำให้อาการแย่ลงจนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1853

ศพของเขาถูกฝังที่สุสาน Bellefontaine ในเซนต์หลุยส์ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งสรีรวิทยาของกระเพาะอาหาร (Father of gastric physiology)

ค.ศ. 1880 St. Martin เสียชีวิตที่ St. Thomas de Joliette ใน Quebec ประเทศแคนาดา ครอบครัวของเขาไม่รีบฝังศพเพราะวงการแพทย์ต้องการร่างของเขาไปศึกษามากเกรงจะถูกขุดศพขึ้นมา ทางครอบครัวจึงนำศพตากแดด 4 วันจนกระทั่งศพเน่าเปื่อยจึงนำไปฝัง

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MMM(138) Gleason score

Donald Floyd Gleason (1920-2008)


เกิดวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 ที่ Spencer รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรชายของ Fred กับ Ethel Gleason บิดาของเขาเปิดร้านขายฮาร์ดแวร์ส่วนมารดาเป็นครู

เขาจบจาก Litchfield High School ที่รัฐมินนิโซตาในปี ค.ศ. 1938 จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตา ในมินนีแอโพลิส

ทศวรรษ 1940 Starke R. Hathaway และ J. C. McKinley ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตาพัฒนาสเกลทางคณิตศาสตร์เพื่อใช้ในการวินิจฉัยภาวะทางจิตเวช ดัชนีนี้เรียกว่า Minnesota Multiphasic Personality Index (MMPI) ซึ่ง Gleason เป็นหนึ่งในนักเรียนแพทย์ที่เข้าร่วมในกระบวนการเก็บข้อมูล

เขาจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1944 จากนั้นก็ไปเป็น internship ที่มหาวิทยาลัยแห่งแมรีแลนด์ ในบัลติมอร์ โดยเป็นร้อยโท สังกัดกรมแพทย์ทหารบก ทำให้ได้รู้จักกับ Nancy Breitung และแต่งงานกันในเวลาต่อมาไม่นาน ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกัน 3 คนคือ Donna O’Neill (เกิด ค.ศ. 1954), Sue Anderson (เกิด ค.ศ. 1959) และ Ginger Venable (เกิด ค.ศ. 1962)

ค.ศ. 1947 เขาไปเป็นเทรนด้านพยาธิวิทยาที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกในมินนีแอโพลิส เมื่อจบการ เทรนปรากฎว่าตำแหน่งที่ต้องการไม่มี เนื่องจากความใฝ่ฝันอีกอย่างคืออยากจะเป็นศิลปิน ค.ศ. 1950 เขาจึงย้ายไปเรียนด้านนี้ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสพร้อมภรรยา แต่ไม่กี่เดือนเงินก็หมดประกอบกับมีโทรเลขจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเสนอตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา เขาจึงกลับมายังมินนีแอโพลิส

ขณะนั้นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นปัญหาที่สำคัญ George T. Mellinger หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกในมินนีแอโพลิสจึงจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือซึ่งประกอบด้วยหลายสาขาและหลายโรงพยาบาลเพื่อศึกษาในเรื่องนี้เรียกว่า Veteran’s Administration Cooperative Urology Research Group (VACURG)

จากประสบการณ์ที่ Gleason ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา MMPI การศึกษา histology ของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ป่วย 280 รายระหว่าง ค.ศ. 1960 - 1964 เขาจึงนำระบบตัวเลขมาใช้ในการประเมินที่เรียกว่า "Gleason grading and scoring system" ผลการวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1966 (Gleason DF. Classification of prostatic carcinomas. Cancer Chem Rep. 1966;50:125-128.) และเป็นที่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน

เขาเกษียณในปี ค.ศ. 1987 ตำแหน่งทางวิชาการสูงสุดที่ได้รับคือรองศาสตราจารย์ที่ภาควิชา Laboratory Medicine ของมหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตา

Gleason เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่บ้านใน Edina รัฐมินนิโซตาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 2008

เอกสารอ้างอิง

http://www.writersurgeon.com/guphysicians/Gleason.pdf

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MMM(137) Cullen's sign

Thomas Stephen Cullen (1868-1953)


เกิดวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1868 ที่ Bridgewater รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา

เขาเรียนที่ Toronto Collegiate Institute และจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งโทรอนโตในปี ค.ศ. 1890 ด้วยคะแนนอันดับต้น ๆ ของรุ่น หลังจบก็เป็น intern ที่โรงพยาบาลทั่วไปโทรอนโต

Howard Atwood Kelly (20 ก.พ. 1858 – 12 ม.ค. 1943) สูตินรีแพทย์ชาวอเมริกันหนึ่งในสี่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์จอห์นฮอปกินส์มาพ ักผ่อนตกปลาที่แคนาดาและทำการผ่าตัดที่โทรอนโตโดย Cullen เป็นผู้ช่วย Cullen ทึ่งในฝีมือการผ่าตัดของ Kelly ค.ศ. 1891 จึงไปศึกษาต่อที่หน่วยของ Kelly ที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์

ค.ศ. 1893 เขาไปศึกษาเพิ่มเติมที่ห้องปฏิบัติการของ Johannes Orth (14 ม.ค. 1847 – 13 ม.ค. 1923) พยาธิแพทย์ชาวเยอรมันที่มหาวิทยาลัยแห่ง Gottingen เป็นเวลา 6 เดือนและกลับมาทำงานด้านพยาธิวิทยาของนรีเวชวิทยาที่จอห์นฮอปกินส์จนถึงปี ค.ศ. 1896 จากนั้นก็ทำงานในฐานะนรีแพทย์

ค.ศ. 1910 เขาร่วมกับ Henry Walters (1848 – 1931) นักธุรกิจชาวอเมริกันก่อตั้งภาควิชาใหม่ของคณะนั่นคือภาควิชา Art as Applied to Medicine

ค.ศ. 1919 เขาบรรยาย Cullen's sign ซึ่งเป็นรอยสีน้ำเงินที่บริเวณรอบ ๆ สะดือพบในผู้ป่วยที่ตกเลือดในช่องท้องเช่น ruptured ectopic pregnancy ปีเดียวกันนี้เองก็ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านนรีเวชวิทยาคลินิก

ค.ศ. 1932 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านนรีเวชวิทยา

เขาทำงานที่จอห์นฮอปกินส์จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1953

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MMM(136) Apley test & McMurray test

Alan Graham Apley (1914-1996)

เกิดวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1914 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรชายคนเล็กสุดของครอบครัวชาวยิวที่อพยพมาจากประเทศโปแลนด์

เข้าเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาล University College และจบในปี ค.ศ. 1938

เขาเป็น Fellow of the Royal College of Surgeons ในปี ค.ศ. 1941 หลังจบการเทรนเขาทำงานที่ Roehampton ภายใต้ George Perkins* (1892-1979) ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงซึ่งมีอิทธิพลต่อเขามาก

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาไปอยู่หน่วยแพทย์ทหารบกในอินเดียและถูกส่งกลับอังกฤษในปี ค.ศ. 1947

เขามาเป็นแพทย์ที่ปรึกษาของโรงพยาบาลออร์โธปิดิคส์ Rowley Britow ใน Pyford ซึ่งเขาเริ่ม FRCS course ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันในชื่อ Pyrford Postgraduate Course หรือ Apley Course ในปี ค.ศ. 1948

บันทึกจาก Apley Course นำไปสู่ตำรา “Apley's System of Orthopaedics and Fractures” ซึ่งตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1959 (ล่าสุดเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 พึ่งตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 ที่ผ่านมานี้เอง)

ค.ศ. 1972 เขาเป็นผู้อำนวยการแผนกออร์โธปิดิคส์ของโรงพยาบาล St. Thomas

หลังเกษียณจาก National Health Service ค.ศ. 1984 เขารับตำแหน่งบรรณาธิการของวารสาร The Journal of Bone and Joint Surgery ของอังกฤษ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ชาวอังกฤษผู้นี้คิดค้นการตรวจร่างกายเพื่อประเมิน meniscus ของเข่าที่เรียกว่า Apley grind test นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของวิธีตรวจการเคลื่อนไหวของไหล่ที่เรียกว่า Apley's scratch test

เขาแต่งงานครั้งแรกกับ Janie และมีบุตรด้วยกันสองคนเป็นบุตรชายหนึ่งคนคือ Richard กับบุตรสาวอีกหนึ่งคนคือ Marry

เขาแต่งงานครั้งที่สองกับ Violet ซึ่งคอยดูแลเขาช่วงบั้นปลายของชีวิต

เขาเสียชีวิตในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1996


Thomas Porter McMurray (1887-1949)


เกิดวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1887 ที่เบลฟาสต์ ไอร์แลนด์เหนือ

ค.ศ. 1910 เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Queen ในเบลฟาสต์ จากนั้นก็ทำงานที่ลิเวอร์พูลภายใต้ Sir Robert Jones (1857-14 ม.ค. 1933) ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ชาวอังกฤษผู้บุกเบิกออร์โธปิดิคส์ยุคใหม่

McMurray เป็นกัปตันของหน่วยแพทย์ทหารบกที่ประเทศฝรั่งเศสช่วงสั้น ๆ ก่อนที่จะกลับมายังโรงพยาบาลทหาร Alder Hey ในลิเวอร์พูลและเทรนต่อภายใต้ Jones

ค.ศ. 1924 – 1938 เขาเป็นผู้บรรยายที่ภาควิชาออร์โธปิดิคส์ของมหาวิทยาลัยแห่งลิเวอร์พูลและรั บตำแหน่งผู้อำนวยการของภาควิชาต่อจาก Jones

ค.ศ. 1938 เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านออร์โธปิดิคส์คนแรกในลิเวอร์พูล

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ชาวอังกฤษผู้นี้คิดค้นวิธีตรวจการบาดเจ็บของ medial menicus ของเข่าที่เรียกว่า McMurray's sign และเป็นเจ้าของ McMurray's osteotomy

เขาผ่าตัดเร็วมากจนเป็นกลายเป็นตำนานกล่าวคือ สามารถ remove meniscus ได้ภายในไม่ถึงห้านาทีและสามารถ disarticulate ข้อสะโพกได้ในเวลาสิบกว่านาที

เขาได้รับตำแหน่งที่สำคัญ ๆ เช่น ประธานของสมาคมออร์โธปิดิคส์แห่งอังกฤษ และประธานของสมาคมแพทย์แห่งอังกฤษ เป็นต้น

วันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1949 เขาเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันในที่สถานีรถไฟในกรุงลอนดอน ขณะจะไปเยี่ยมลูกชายที่แอฟริกาใต้

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MMM(135) Stryker turning frame

Homer Hartman Stryker (1894-1980)


เกิดวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1894 ที่ Wakeshma Township ใกล้ชุมชมเกษตรกรรม Calhoun County แห่ง Athens ตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐฯ

เขาจบจาก Athens High School ในปี ค.ศ. 1913 จากนั้นก็เรียนต่อที่ Western State Normal College (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยมิชิแกนตะวันตก) และจบในปี ค.ศ. 1916

หลังจบวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1916 เขาเป็นครูสอนที่บ้านโดยใช้ระบบโรงเรียน Keweenaw Bay ใน Upper Peninsula จากนั้นก็ไปสมัครเป็นทหารราบเพื่อรับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ตอนแรกถูกนายพันปฏิเสธเนื่องจากมีแผลเป็นที่มือขวาแต่เมื่อเขาแสดงความตั้งใจจริงสุดท้ายก็ได้ไปเป็นทหารราบที่ฝรั่งเศส

ค.ศ. 1921 เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกนใน Ann Arbor โดยจบการศึกษาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1925 และเป็น intern ที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย

เขาทำงานเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่โรงพยาบาลเอกชนเล็ก ๆ ใน Alma ช่วงสั้น ๆ จากนั้น ค.ศ. 1928 ก็ไปเป็นแพทย์ที่ Kalamazoo

ค.ศ. 1936 เขาเริ่มเทรนศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ที่มหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกนเป็นเวลาสามปี ช่วงนี้เองที่เขาเริ่มประดิษฐ์ rubber heel สำหรับ walking cast และคิดค้นเตียงสำหรับผู้ป่วยกระดูกสันหลังหักที่เรียกว่า Stryker turning frame

ค.ศ. 1939 หลังจบการเทรนก็ไปทำงานที่โรงพยาบาล Borgess ใน Kalamazoo รัฐมิชิแกน ตอนแรก Stryker turning frame ใช้ในโรงพยาบาล Borgess แต่เนื่องจากมีความต้องการใช้มากเขาจึงไปตั้งบริษัทเพื่อผลิตจำหน่ายชื่อว่า Orthopaedic Frame Company, Inc. ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ที่ไม่ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อบริษัทเพราะตอนนั้นทำงานเป็นแพทย์อยู่ ภรรยาของเขาคือ Mary Jane ช่วยเย็บผ้าสำหรับใช้ใน turning frame

วันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 Stryker oscillating saw ซึ่งใช้ตัดเฝือกโดยไม่บาดเจ็บต่อผิวหนังได้รับการจดสิทธิบัตร ปัจจุบันประยุกต์ไปใช้ในการผ่าตัดอีกหลายอย่าง

ทศวรรษ 1950 เขาคิดค้น Stryker Circo-Lectric bed

เมื่อเกษียณในปี ค.ศ. 1964 เขาก็คลายความกังวลและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Stryker Corporation ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1964

แม้จะเกษียณจากงานประจำแล้วแต่เขายังคงปฏิบัติงานเป็นแพทย์จนถึงปี ค.ศ. 1978 สองปีต่อมาก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาล Borgess ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ด้วยวัย 85 ปี

Stryker Orthopaedic Trauma Lectureship และ Homer H. Stryker Pathology Lectureship ของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกนตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

MMM(134) Rytand's murmur

David A. Rytand (1908-1991)


เกิดที่ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 1908

ค.ศ. 1926 เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1932 จากนั้นก็เป็น intern, resident และเป็นอาจารย์ที่นี่จนกระทั่งเสียชีวิต

ค.ศ. 1937 เขาตีพิมพ์การศึกษาจำนวนและขนาดของ glomerulus ของไตสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งเป็นบทความคลาสสิกที่ถูกนำไปอ้างอิงเป็นเวลานานกว่า 50 ปี

เขาสนใจด้านหทัยวิทยา (cardiology) โดยเฉพาะเรื่อง Mines’ circus movement hypothesis

ค.ศ. 1946 เขาบรรยายเสียงผิดปกติของหัวใจแบบ diastolic murmur ที่ apex ในผู้ป่วย complete atrioventricular block อาการแสดงนี้เรียกว่า Rytand's murmur

ค.ศ. 1946 เขาบรรยายกลุ่มอาการ Rytand-Lipsitch ร่วมกับ Lester S. Lipsitch (? ? 1912 17 ต.ค. 1992) แพทย์ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง

ค.ศ. 1951 เขากล่าวไว้ว่า “The prognosis for a patient with myocardial infarction is worse when anticoagulants are given to someone else” ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Rytand’s law

ค.ศ. 1954 แพทย์ชาวอเมริกัน Arthur L. Bloomfield (1888-1962) หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์สแตนฟอร์ดเกษียณ Rytand ก็รับตำแหน่งนี้ต่อ

ค.ศ. 1958 Rytand ได้รับตำแหน่ง Arthur L. Bloomfield Professor of Medicine เป็นคนแรก

ค.ศ. 1960 เขาสละตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาและกลับไปทำงานที่เขารักนั่นคืองานบริการ งานสอนและงานทางวิชาการ

ค.ศ. 1975 เขาได้รับตำแหน่ง Professor Emeritus และย้ายไปยังศูนย์การแพทย์ Santa Clara Valley ที่ San Jose ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในเครือของโรงเรียนแพทย์สแตนฟอร์ด

ค.ศ. 1980 เขากลับมาที่ศูนย์การแพทย์สแตนฟอร์ดและเป็นผู้อำนวยของ Medical Alumni Relations

เขาแต่งงานกับ Nancy Homquist ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 3 คนเป็นบุตรสาว 1 คนคือ Sally Plaisted บุตรชายอีก 2 คนคือ David H. Rytand และ William Rytand

มีคนสัมภาษณ์ว่าอะไรคือความสำเร็จสูงสุดของเขา Rytand ตอบสั้น ๆ ว่า Two things. I taught students. And I listened to patients.”

เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991