วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

MMM(206) Narakas classification

Algimantas Otonas Narakas (1927-1993)

เกิดวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1927 ในเมือง Kaunas ประเทศลิทัวเนีย
เป็นบุตรชายของ Juozas Narakas (1899-1989) ผู้บัญชาการกองทัพอากาศและต่อมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายใน
วันหนึ่งในปี ค.ศ. 1937 ขณะเล่นอยู่ในอดีตสมรภูมิรบช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาโดนระเบิดมือระเบิดใส่จนเป็นแผลที่ขาและสะโพก  เนื่องจากกลัวความผิดจึงไม่บอกใคร  ผลลัพธ์คือแผลติดเชื้อเป็น chronic osteomyelitis ที่กระดูก tibia ด้านซ้ายและสะโพกขวา  เขาจึงถูกส่งไปรักษาด้วยวิธี heliotherapy ที่โรงพยาบาลบนเทือกเขาแอลป์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลานานถึงสิบปี  การรักษาไม่ได้ผลอะไรแต่ช่วยให้เขาพ้นจากความวุ่นวายของสงครามโลกครั้งที่สอง
เนื่องจากขาใช้การไม่ค่อยดีจึงต้องฝึกฝนทักษะการใช้มือ  ชีวิตของเขาอยู่ไปวัน ๆ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนเมื่อมีการค้นพบยาปฏิชีวนะ  ไม่กี่วันหลังได้รับยาเพนิซิลลินเขาก็หายจากความเจ็บป่วย  เขาออกจากโรงพยาบาลในปี ค.ศ. 1947 นางพยาบาลแนะนำว่า “ประเทศของเขาหายไปจากแผนที่แล้ว พ่อกับแม่ไม่รู้เป็นอย่างไร ขาเขาพิการแต่มีสายตาและทักษะที่ดีน่าจะทำงานเป็นช่างนาฬิกา”   
แต่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเป็นแรงบันดาลใจให้เขามุ่งมั่นที่จะเป็นแพทย์เพื่อรักษาผู้อื่นให้หายจากความเจ็บป่วย  เขาเรียนมัธยมที่วิทยาลัยคาทอลิกแห่ง Einsiedeln ใน Alemanic ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (พื้นที่นี้พูดภาษาเยอรมัน)  ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ในปี ค.ศ. 1949 และจบแพทย์จากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยโลซานในปี ค.ศ. 1957
เรื่องราวกำลังไปได้ดีแต่แล้วก็สะดุดเนื่องจากลิทัวเนียถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียต  สวิตเซอร์แลนด์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 เขาจึงกลายเป็นคนไร้สัญชาติและไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเวชปฏิบัติ  ระหว่างนี้เขาเทรนด้านศัลยศาสตร์ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งโลซานคอร์สชาวต่างชาติ  ส่วนเงินยังชีพได้มาจากการทำงานรับจ้างต่าง ๆ เช่นเป็นคนส่งนม ช่าง คนสวน รวมถึงทำงานด้านวารสารวิทยาศาสตร์และการแพทย์
เขาแต่งงานกับ Collette Kenel ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสองคนเป็นบุตรชายชื่อ Alexandre และบุตรสาวชื่อ Diane
เขารออยู่หลายปีในที่สุดก็ได้รับสัญชาติสวิสในปี ค.ศ. 1962  เขาเทรนจบศัลยแพทย์ทั่วไปในปี ค.ศ. 1969 จากนั้นร่วมงานกับศาสตราจารย์ Claude Verdan ผู้บุกเบิกศัลยศาสตร์ของมือที่ Clinique Longeraie ในโลซาน
ค.ศ. 1971 เขารับตำแหน่งในคณะแพทย์ที่หน่วยเวชศาสตร์อุบัติเหตุโดยได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1978 ปีเดียวกันนี้เองก็ได้รับตำแหน่งประธาน Assecurology ของมหาวิทยาลัยโลซาน
ค.ศ. 1981 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการแพทย์ที่ Clinique Longeraie
ค.ศ. 1989 เขาเทรนจบศัลยแพทย์ด้านมือ 
เขาเป็นบรรณาธิการวารสารด้านศัลยศาสตร์และประพันธ์บทความมากมายหนึ่งในนั้นคือการเสนอระบบจำแนก brachial plexus palsy ในทารกแรกเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1986 รู้จักกันในชื่อ Narakas classification
เขาพัฒนากฎด้านระบาดวิทยาของสาเหตุของ intraplexal lesion ที่เรียกว่ากฎ “7 times 70%” กล่าวคือ (1) 70% ของผู้ป่วยเกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน (2) 70% ของอุบัติเหตุเกิดจากเหยื่อมอเตอร์ไซด์ (3) 70% ของเหยื่อเหล่านี้มีการบาดเจ็บหลายตำแหน่ง (4) 70% ของรอยโรคเหล่านี้เกิดเหนือไหปลาร้า (5) 70% ของรอยโรคเหล่านี้เกิด avulsion ของเส้นประสาทอย่างน้อยหนึ่งเส้น (6) 70% ของ avulsion เหล่านี้เกิดที่ระดับ C7-T1 (7) 70% ของ avulsion เหล่านี้ทำให้ปวดเรื้อรัง
เขาเสียชีวิตในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993  เนื่องจากเป็นคนจัดการประชุมนานาชาติด้านการบาดเจ็บของ brachial plexus เพื่อเป็นเกียรติแก่ Narakas หลังเขาเสียชีวิตการประชุมดังกล่าวจึงได้รับการตั้งชื่อว่า “Narakas Club” ปัจจุบันจัดประชุมทุกสองปีโดยปี ค.ศ. 2013 นี้เป็นครั้งที่ 18 จัดที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเสียชีวิตของเขา 

เอกสารอ้างอิง
                Bonnard C, Slooff ACJ. Brachial Plexus Lesions Drawaings of Exporations and Reconstructions by Algimantas Otonas Narakas. New York:Springer;1999.
Taleb C, Nectoux E, Awada T, Liverneaux P. The destiny of an ace: Algimantas Otanas Narakas (1927-1993). J Brachial Plex Peripher Nerve Inj 2013;8:6.

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

MMM(205) pioneer in study of human nervous system

Sir Charles Bell (1774-1842)

เกิดวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1774 ที่กรุงเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์
เป็นบุตรชายคนที่สี่ของบาทหลวง William Bell (1704-1779) เป็น Episcopalian minister ใน Church of Scotland กับภรรยาคนที่สอง Margaret Morice  [บุตรชายคนที่สามคือ George Joseph Bell (1770-1843) เป็นนักกฎหมาย  บุตรชายคนที่สองคือ John Bell (1763-1820) เป็นศัลยแพทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งศัลยศาสตร์หลอดเลือดยุคใหม่ร่วมกับศัลยแพทย์ชาวสกอต John Hunter (1728-1793) และศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศส Pierre-Joseph Desault (1738-1795)] 
เนื่องจากบิดาเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุ 5 ขวบบุคลิกภาพจึงได้รับอิทธิพลจากมารดาเป็นหลักคืออารมณ์อ่อนไหวและมีความสุนทรีแบบศิลปิน
เขาเรียนที่โรงเรียนมัธยมเอดินบะระโดยมารดาให้เรียนพิเศษด้านศิลปะกับจิตรกรชาวสกอต David Allan (1744-1796) ด้วย ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระตามแรงผลักดันของพี่ชาย  ขณะเป็นนักเรียนแพทย์เขาได้ช่วยพี่ชายสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ที่โรงเรียนกายวิภาคศาสตร์ของพี่ชายเอง  นอกจากนี้ยังตีพิมพ์ตำราด้านกายวิภาคศาสตร์อีกด้วย
ค.ศ. 1799 เขาจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระและได้รับเลือกเป็นสมาชิกของวิทยาลัยศัลยแพทย์เอดินบะระ  เริ่มทำงานเป็นศัลยแพทย์ที่ Royal infirmary โดยฝีมือด้านศัลยศาสตร์ไม่แพ้ด้านกายวิภาคศาสตร์เลย
เขาร่วมกับพี่ชายตีพิมพ์ตำรา “Anatomy of the human body” volume 3 และ 4 ในปี ค.ศ. 1802 และ 1803 ตามลำดับ โดย Charles รับผิดชอบในส่วนของเส้นประสาท อวัยวะรับความรู้สึกและอวัยวะภายใน
ผลงานด้านกายวิภาคศาสตร์ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ประจักษ์  ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้หลายคนในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอดินบะระเกิดความอิจฉาและกีดกันพี่น้อง Bell ไม่ให้ได้รับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยรวมถึงที่ Royal infirmary 
George Joseph Bell แนะนำให้พวกเขาไปเสี่ยงโชคที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พฤศจิกายน ค.ศ. 1804 ทั้งสองจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอน
หลังไม่ได้รับตำแหน่งถาวรในสถาบันใด ๆ ค.ศ. 1805 Charles ตัดสินใจซื้อบ้านเก่าที่ถนน Leceister ในจัตุรัส Leceister ก่อตั้งโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์เป็นของตัวเอง 
ค.ศ. 1807 John Shaw (1792-1827) จากเมือง Ayr ประเทศสกอตแลนด์ถูกส่งมาเรียนกับ Charles ที่กรุงลอนดอน  ต่อมาเป็นผู้ช่วยของ Charles ที่โรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์ Great Windmill Street
ค.ศ. 1811 Charles ตีพิมพ์ตำรา “An Idea of a New Anatomy of the brain” ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น มหากฎบัตรแห่งประสาทวิทยา (Magna Carta of Neurology)”  ในตำราได้กล่าวถึงกายวิภาคศาสตร์ของไขสันหลังว่ามี nerve root สองเส้นคือ dorsal กับ ventral เมื่อกระตุ้น ventral root จะเกิดกล้ามเนื้อกระตุกแต่เมื่อกระตุ้น dorsal root ไม่เกิดอะไรขึ้น (สาเหตุเป็นเพราะศึกษาในศพ)
วันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1811 เขาแต่งงานกับ Marion Shaw (น้องสาวของ Barbara Shaw ซึ่งเป็นภรรยาของ George Joseph Bell และเป็นพี่สาวของ John Shaw ลูกศิษย์ของเขานั่นเอง) หลังแต่งงานได้ย้ายไปอยู่ที่จัตุรัส Soho ทั้งสองไม่มีบุตรด้วยกัน 
ค.ศ. 1812 เขาใช้สินสอดทองหมั้นที่ภรรยายกให้ซื้อโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์ Great Windmill Street จากนักกายวิภาคศาสตร์ชาวสกอต James Wilson (1765-1821) [โรงเรียนนี้ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1767 โดยแพทย์ชาวสกอต William Hunter (1718-1783) ซึ่งเป็นพี่ชายของ John Hunter]
ค.ศ. 1814 เขาได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาล Middlesex
มิถุนายน ค.ศ. 1815 เกิดการรบที่สมรภูมิ Waterloo เมื่อทราบข่าววันที่ 30 มิถุนายนเขาก็รีบเดินทางไปบรัสเซลส์พร้อม John Shaw ในเวลา 8 วันเขาผ่าตัดตั้งแต่เช้าจนดึกรักษาผู้บาดเจ็บไปเป็นร้อยราย
ค.ศ. 1821 เขาบรรยายผู้ป่วยใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกโดยไม่ทราบสาเหตุ (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Bell’s palsy)  ปีเดียวกันนั้นเอง John Shaw ได้ไปเผยแพร่ผลงานของ Charles ที่ประเทศฝรั่งเศส
François Magendie (1783–1855) นักสรีรวิทยาชาวฝรั่งเศสที่ Bordeaux รับทราบงานของ Charles จาก John Shaw  ค.ศ. 1822 Magendie จึงทำการทดลองในลูกสุนัขที่ยังมีชีวิตพบว่าเมื่อกระตุ้น ventral root ของไขสันหลังจะเกิดการเคลื่อนไหวและเมื่อกระตุ้น dorsal root จะเกิดความเจ็บปวดจึงสรุปว่า ventral root เป็น motor function ส่วน dorsal root นั้นเป็น sensory function 
เนื่องจาก Charles ค้นพบกฎนี้คนแรกแต่เพียงครึ่งเดียว ส่วน Magendie ค้นพบกฎนี้อย่างสมบูรณ์แต่การทดลองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการทารุณสัตว์  ประกอบกับในศตวรรษที่ 19 อังกฤษและฝรั่งเศสมีความขัดแย้งทางการเมืองกันอยู่จึงพยายามตั้งชื่อกฎนี้เพื่อเป็นความภาคภูมิใจของชาติตน ท้ายที่สุดกฎนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Bell-Magendie law
นอกจากนี้เขายังมีผลงานอีกหลายอย่างอาทิ Bell's nerve (long thoracic nerve), Bell's phenomenon และ Bell's spasm
ค.ศ. 1824 เขาเป็นคนแรกที่ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์และศัลยศาสตร์ของวิทยาลัยศัลยแพทย์ในกรุงลอนดอน  
ค.ศ. 1826 เขาขายโรงเรียนสอนกายวิภาคศาสตร์ Great Windmill Street ให้กับศัลยแพทย์ชาวอังกฤษสองคนคือ Herbert Mayo (1796-1852) กับ Caesar Henry Hawkins (1798-1884)
ค.ศ. 1829 เขาเป็นคนแรกที่ได้รับเหรียญรางวัล Royal Medal ด้านกายวิภาคศาสตร์จาก Royal Society
ค.ศ. 1831 เขาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir จากพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 (1765-1837)
ค.ศ. 1835 เขาตอบรับคำเชิญไปเป็นศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ที่เอดินบะระ
เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1842 ที่ North Hallow ใน Worcestershire ประเทศอังกฤษ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาระบบประสาทของมนุษย์ (pioneer in study of human nervous system)

เอกสารอ้างอิง
Gijn JV. Charles Bell (1774-1842). J Neurol 2011;258:1189-90.
                Kazi RA, Rhys-Evans P. Sir Charles Bell: The artist who went to the roots!. J Postgrad Med 2004;50:158-9.
                Pearce JMS. Sir Charles Bell (1774-1842). J R Soc Med 1993;86:353-4.

                

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

MMM(204) Marcus Gunn pupil

Robert Marcus Gunn (1850-1909)

เป็นบุตรชายของเกษตรกร เกิดในปี ค.ศ. 1850 ที่ Norse stock ใน Dunnet, Sutherlandshire ประเทศสกอตแลนด์
เขาเรียนที่โรงเรียนของ Mr. Thomas Fraser ใน Golspie จากนั้นก็เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่ง St. Andrew และมหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระโดยได้เรียนด้านจักษุวิทยากับ William Walker รวมถึง Douglas Moray Cooper Lamb Argyll Robertson (1837-1909) จักษุแพทย์ชาวสกอต  นอกจากนี้เขายังเรียนรู้การใช้ De Wecker’s ophthalmoscope ด้วยตัวเอง
เขาจบ M.A. ในปี ค.ศ. 1871 และ M.B. กับ C.M. ในปี ค.ศ. 1873 จากนั้นก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลจักษุ Moorfields ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษร่วมกับ John Couper  หนึ่งปีต่อมาก็ย้ายไปทำงานที่กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบด้านจักษุภายใต้ Sir Edward Albert Sharpey-Schafer (18501935) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาชาวอังกฤษที่ University College
ธันวาคม ค.ศ. 1874 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 1875 เขาไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งเวียนนาภายใต้จักษุแพทย์ชาวออสเตรีย Eduard Jager von Jaxtthal (1818-1884) จากนั้นก็กลับมาทำงานร่วมกับ Couper ที่โรงพยาบาลจักษุ Moorfields
สิงหาคม ค.ศ. 1876 เขาได้รับตำแหน่ง Junior House-Surgeon ธันวาคมปีนั้นเองก็เป็น Senior House-Surgeon และได้รับ F.R.C.S. ในปี ค.ศ. 1882
สิงหาคม ค.ศ. 1883 ได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ผู้ช่วยที่โรงพยาบาลจักษุ Moorfields และได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1888
เขามีผลงานมากมายที่สำคัญคือค้นพบ Marcus Gunn pupil หรือ Relative Afferent Pupillary Defect (RAPD), Marcus Gunn jaw-winking phenomenon, Gunn's dots และ Gunn's sign
ค.ศ. 1898 ได้รับตำแหน่งรองประธานหน่วยจักษุวิทยาของสมาคมแพทย์อังกฤษและเป็นประธานในปี ค.ศ. 1906  หนึ่งปีต่อมาก็ได้รับตำแหน่งประธานสมาคมจักษุวิทยาและเป็นศัลยแพทย์อาวุโสของโรงพยาบาลจักษุ Moorfields
หลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยอยู่หลายเดือนในที่สุดเขาก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1909 ที่ Hindhead ใน Surrey ประเทศอังกฤษ

เอกสารอ้างอิง
                L JB. Obituary Robert Marcus Gunn. Br Med J 1909;1719-21.


วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

MMM(203) Edgar Wallace of medical literature

Henry Hamilton “Ham” Bailey (1894-1961)

เกิดวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1894 ที่ Bishopstoke ในมณฑลแฮมป์เชียร์ ประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายของแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป Henry James Bailey (1864-?) ส่วนมารดาเป็นพยาบาลชื่อ Margaret Bailey ป่วยเป็นโรคจิตเวช  ตอนอายุสองขวบครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ไบรตัน  ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่มีความสุขนักเพราะบิดาทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลาให้ ส่วนมารดาก็ป่วยบ่อยไม่ค่อยได้อยู่บ้าน
ค.ศ. 1900 เขาถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่ Durley, Southport ก่อนจะเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัย St Lawrence ใน Ramsgate มณฑลเคนต์

ค.ศ. 1910 เขาเข้าเรียนแพทย์ตามความประสงค์ของบิดาที่โรงพยาบาลลอนดอนด้วยวัย 16 ปี  ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ค.ศ. 1914 ขณะอยู่ชั้นปีที่ 4 เขาอาสาไปทำงานในหน่วยกาชาดอังกฤษที่เบลเยียม  ทำงานได้ไม่นานกองทัพเยอรมันก็บุกรุกเขาถูกจับเป็นเชลยไปสร้างทางรถไฟที่ประเทศเยอรมนี  รถไฟของกองร้อยถูกทำลายเขาและชาวฝรั่งเศสอีก 2 คนถูกจับในข้อหาก่อวินาศกรรม  ศาลทหารตัดสินให้ประหารชีวิตทั้งหมดแต่โชคดีชาวฝรั่งเศสถูกประหารชีวิตคนเดียวสองคนที่เหลือรอดชีวิต  จากการแทรกแซงของสถานทูตสหรัฐอเมริกาเขาได้รับการส่งตัวกลับประเทศ
ค.ศ. 1917 เขาสอบผ่าน MRCS LRCP และได้รับตำแหน่งเป็นศัลแพทย์โท (Surgeon-lieutenant) ในกองทัพเรือหลวง  ค.ศ. 1920 ก็สอบผ่านเป็น Fellow of the Royal College of Surgeons
หลังสิ้นสุดสงครามได้มาเป็นผู้ช่วยหัวหน้า fellow ที่โรงพยาบาลลอนดอน  ช่วงนั้นศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ Robert John McNeill Love (1891-1974) เป็นผู้ช่วยคนที่หนึ่งที่โรงพยาบาลลอนดอน  Bailey และ Love ได้เป็น registrar ระหว่างปี ค.ศ. 1922-1925 (ค.ศ. 1924 Bailey สูญเสียนิ้วชี้มือซ้ายเนื่องจากติดเชื้อรุนแรงจนต้องตัดทิ้ง) แต่ทั้งสองไม่ผ่านการสอบสัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 1925 จึงไม่ได้รับตำแหน่ง consultant ที่โรงพยาบาลลอนดอน
Bailey มีชื่อเสียงจากการประพันธ์ตำราโดย ค.ศ. 1927 เขาตีพิมพ์ตำรา “Hamilton Bailey’s Demonstration of Physical Signs in Clinical Surgery” เป็นครั้งแรก (ล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 18 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1997)  ต่อมา ค.ศ. 1930 ก็ตีพิมพ์ตำรา “Hamilton Bailey’s Emergency Surgery” เป็นครั้งแรก (ล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 13 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2000)
แม้ Bailey และ Love จะไม่ได้รับตำแหน่ง consultant ที่โรงพยาบาลลอนดอน อย่างไรก็ตามสตาฟของโรงพยาบาล Royal Northern เล็งเห็นความสามารถจึงเชิญทั้งคู่มาร่วมงานในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1930  ต่อมาทั้งสองได้ร่วมกันประพันธ์ตำรา “Bailey & Love Short Practice of Surgery” ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1932 และได้รับความนิยมมากจนถือเป็นไบเบิลสำหรับนักเรียนแพทย์ (ล่าสุดเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 26 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2013) 
 Bailey แต่งงานกับช่างภาพมืออาชีพ Veta Gillender (1902-?) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการประจำตัวเขาตลอดชีวิต  ค.ศ. 1943 บุตรคนเดียวของเขาคือ Hamilton เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถไฟด้วยวัยเพียง 15 ปี  หลังจากนั้นเขาก็มีปัญหาด้านสุขภาพจิตจนผ่าตัดไม่ได้ในปี ค.ศ. 1949 และต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช Graylingwell ในมณฑลซัสเซ็กซ์ เนื่องจากไม่ตอบสนองต่อการรักษาใด ๆ จึงต้องอยู่ในโรงพยาบาลนานถึง 3 ปีจนเกือบจะถูกผ่าตัดทำ prefrontal leucotomy โชคดีที่ registrar คนหนึ่งแนะนำให้ลองใช้ยาใหม่ที่ชื่อลิเทียม (lithium) ผลที่ได้รับน่าอัศจรรย์อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนออกจากโรงพยาบาลได้ใน 3 เดือนต่อมา
เขาย้ายไปอยู่ประเทศสเปนและยังคงเป็นบรรณาธิการตำราหลายเล่มจนกระทั่งต้นปี ค.ศ. 1961 เกิดอาการลำไส้อุดตันและเสียชีวิตวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1961 จากภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดโดยศพถูกฝังที่สุสานชาวอังกฤษในเมืองมาลากา ประเทศสเปน  เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น Edgar Wallace แห่งวรรณกรรมทางการแพทย์
เพื่อรำลึกถึง Bailey ค.ศ. 1986 ภรรยาของเขาจึงจัดตั้งกองทุน Hamilton Bailey Memorial Trust เพื่อบริจาคตำราให้กับห้องสมุดการแพทย์ในต่างประเทศและมอบทุนให้ศัลยแพทย์ชาวต่างชาติที่สนใจมาศึกษาเพิ่มเติมที่ประเทศอังกฤษ

เอกสารอ้างอิง
Hamilton Bailey (1894–1961). Br J Surg 1965; 52: 241–5. 
Marston A. Hamilton Bailey A surgeon’s Life. 1st ed. London: Greenwich Medical Media Ltd.;1999.
Swain V. Hamilton Bailey 1894-1961. Ann R Coll Surg Engl 1986; 68(1):7.


วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

MMM(202) Barlow's syndrome

John Brereton Barlow (1924-2008)

เกิดวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1924 ที่ Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้
บิดาของเขาคือ Lancelot White Barlow พยาธิแพทย์ชาวแอฟริกาใต้ที่กรุงโจฮันเนสเบิร์กผู้ไปเรียนแพทย์ยังมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และโรงพยาบาล St Bartholomew ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบรักกับมารดาของเขาชาวอังกฤษชื่อ Madeline Dicks ขณะเรียนแพทย์นั่นเอง
เขาจบจากวิทยาลัย St John ก่อนจะเรียนแพทย์ตามบิดาโดยเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Witwatersrand แต่การเรียนในชั้นปีที่หนึ่งก็ถูกขัดจังหวะเพราะประเทศแอฟริกาใต้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1940 จึงถูกเกณฑ์ไปเข้าร่วมกองทัพ  จนกระทั่งปี ค.ศ. 1946 จึงได้กลับมาเรียนแพทย์ต่อ
ค.ศ. 1949 เขาแต่งงานกับ Shelagh Cox (ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกันสองคนคือ Richard John Barlow เป็นตจแพทย์และ Clifford William Barlow เป็นศัลยแพทย์หัวใจ)
เขาจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1951 และเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาล Baragwanath (ปัจจุบันคือโรงพยาบาล Chris Hani Baragwanath) ใน Soweto ทางตอนใต้ของกรุงโจฮันเนสเบิร์ก เขานั่งเรือไปสอบ MRCP ในปี ค.ศ. 1955 จากนั้นได้เป็น medical registrar ที่โรงพยาบาล Hammersmith และโรงเรียนแพทย์ Royal Postgraduate ในกรุงลอนดอนภายใต้แพทย์ชาวอังกฤษ John McMichael (ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir) เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขาสนใจด้านหทัยวิทยา
ปลายทศวรรษ 1950 เขากลับไปเป็น medical registrar ที่โรงพยาบาลโจฮันเนสเบิร์ก เป็นแพทย์ที่ปรึกษาในปี ค.ศ. 1960
ค.ศ. 1961 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยหทัยวิทยาของมหาวิทยาลัยแห่ง Witwatersrand ด้วยความนับถือต่ออาจารย์ที่ปรึกษาจึงตั้งชื่อห้องปฏิบัติการสวนหัวใจว่า McMichael Cardiac Catheterization Laboratory 
กลุ่มอาการของ mid-systolic click ร่วมกับ systolic murmur มีบรรยายไว้นานแล้วตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1800 เดิมเชื่อกันว่าต้นกำเนิดมาจากนอกหัวใจ แต่ Barlow ค้นพบว่าเกิดจากการกระเพื่อม (billowing) ของลิ้นหัวใจ Mitral  ตอนแรกเขาเสนอบทความงานวิจัยไปที่วารสาร Circulation แต่ไม่ได้รับการตีพิมพ์ Bernard A. Tabatznik อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาโน้มน้าวให้ส่งบทความฉบับย่อมาที่วารสาร Maryland State Medical Journal (ซึ่งเพื่อนของเขาเป็น sub-editor อยู่) โดยได้รับการตีพิมพ์ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963 ต่อมาบทความฉบับสมบูรณ์ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร American Heart Journal ในเดือนตุลาคมปีนั้นเอง
เขาเข้าใจผิดว่าสาเหตุเกิดจาก subvulvular ventricular aneurysm จนกระทั่งได้พบกับแพทย์ชาวอเมริกัน John Michael Criley (เกิด ค.ศ. 1931) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1964 ที่โรงพยาบาลจอนส์ฮอปกินส์ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากการยื่น (prolapse) ของลิ้นหัวใจ Mitral ในขณะหัวใจบีบตัวมากกว่า  Barlow ศึกษาเพิ่มเติมจนพบว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ปัจจุบันโรคนี้รู้จักกันในชื่อ mitral valve prolapse หรือ Barlow’s syndrome
เขาเป็นผู้อำนวยการหน่วยวิจัยหัวใจ-หลอดเลือดในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งเป็นแผนกที่พึ่งก่อตั้งใหม่ ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านหทัยวิทยาในปี ค.ศ. 1980 และครองตำแหน่งนี้จนกระทั่งเกษียณในอีก 10 ปีต่อมา
 เขาเสียชีวิตที่กรุงโจฮันเนสเบิร์กเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2008

เอกสารอ้างอิง
                Barlow JP, Pocock WA. The significance of late systolic murmurs and mid-late systolic clicks. Maryland State Med J 1963;12:76-7.
                Barlow JP, Pocock WA, Marchand P, Denny M. The significance of late systolic murmurs. Am Heart J;66:443-52.
Barlow R, Barlow C. John Brereton Barlow. Munk’s Roll. Royal College of Physicians 2009.
Cheng TO. John B. Barlow: Master Clinician and Compleat Cardiologist. Cli Cardiol 2000;23:66-7.


วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

MMM(201) Kasai procedure

Morio Kasai (1922-2008)

เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1922 ที่เมือง Aomori ประเทศญี่ปุ่น
เข้าเรียนแพทย์ที่ Sendai หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง  จบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแห่งชาติ Tohoku ในปี ค.ศ. 1947  เทรนต่อด้านศัลยกรรมและทำงานเป็นศัลยแพทย์ทั่วไปที่ภาควิชาที่สองของศัลยศาสตร์สถาบันนั้นเอง 
ทศวรรษ 1950 โรคทางเดินน้ำดีตีบตัน (biliary atresia) เป็นโรคที่หายากแต่รุนแรงถึงชีวิตและยังไม่มีวิธีรักษา  Kasai จึงคิดค้นเทคนิคผ่าตัดรักษาโดยการนำเอาลำไส้ไปต่อกับเนื้อเยื่อขั้วตับเพื่อให้ท่อน้ำดีขนาดเล็กบริเวณนั้นระบายน้ำดีลงสู่ลำไส้ได้เรียกว่า hepatic portoenterostomy โดยประสบความสำเร็จในการผ่าตัดรักษาเด็กอายุ 72 วันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1955
 ค.ศ. 1958 Kasai ไปทำ research fellowship เป็นเวลา 1 ปีกับ Charles Everett Koop (1916 – 2013) กุมารศัลยแพทย์ชาวอเมริกันซึ่งเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลเด็กแห่งฟิลาเดลเฟีย  ประสบการณ์ที่นี่ทำให้เขาอุทิศชีวิตที่เหลือให้กับกุมารศัลยศาสตร์  หลังกลับจากฟิลาเดลเฟียก็ได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Tohoku 
ค.ศ. 1959 ผลงานเรื่อง hepatic portoenterostomy ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่นในวารสาร Shujutsu จึงไม่เป็นที่รู้จักในระดับสากลจนกระทั่งได้รับการแปลและตีพิมพ์ในวารสารภาษาอังกฤษในทศวรรษ 1960  มีความพยายามทำ hepatic portoenterostomy ในสหรัฐอเมริกาแต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว  ศัลยแพทย์ชาวอเมริกันจึงต้องเดินทางมาฝึกกับผู้คิดค้นที่ญี่ปุ่นโดยตรง  อย่างไรก็ตามกว่าจะมีรายงานความสำเร็จในการผ่าตัดที่สหรัฐอเมริกาก็กลางทศวรรษ 1970 เลยทีเดียว  Kasai เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเขาไม่คาดหวังว่าหัตถการนี้จะต้องตั้งตามชื่อของเขา  ถึงกระนั้นก็ตามส่วนใหญ่ก็เรียกหัตถการนี้ว่า Kasai procedure เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้คิดค้น
ค.ศ. 1963 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์และดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาที่สองของศัลยศาสตร์
ทศวรรษ 1970 เขาคิดค้นหัตถการรักษาโรค Hirschsprung ที่เรียกว่า anorectal achalasia และยังไปช่วย Koop ก่อตั้ง biliary atresia program ที่โรงพยาบาลเด็กแห่งฟิลาเดลเฟียอีกด้วย 
ค.ศ. 1976 เขาก่อตั้ง Japanese Society of Biliary Atresia study Group ซึ่งจัดการประชุมกันทุกปี  ปีนั้นเองเขายังก่อตั้ง International Symposium of Biliary Atresia ซึ่งจัดการประชุมกันทุกห้าปีอีกด้วย
เขาเก่งในเรื่องสกีและการปีนเขามากจนได้เป็นหัวหน้าทีมปีนเขาของมหาวิทยาลัย Tohoku ซึ่งเป็นทีมแรกในโลกที่พิชิต Nyainquntaglha ยอดเขาที่สูงที่สุดในที่ราบสูงธิเบต
หลังเกษียณในปี ค.ศ. 1986 เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณ  จากนั้นไม่นานก็ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล NTT Tohoku จนกระทั่งเกษียณอีกครั้งในปี ค.ศ. 1993
ค.ศ. 1999 เขาป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (stroke) แต่ไม่อาจขัดขวางการทำงาน  เขายังคงทำงานด้านกุมารศัลยศาสตร์จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2008

เอกสารอ้างอิง

                Garcia AV, Cowles RA, Kato T, Hardy MA. Morio Kasai: A Remarkable Impact Beyond the Kasai Procedure. J Pediatr Surg 2012; 47(5): 1023-7.

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

MMM(200) Raider's triangle

Louis Raider (1913-1999)

เกิดวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1913 ที่ Chattanooga รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เติบโตที่นครนิวยอร์ก
เขาเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย โดยเป็นตั้งแต่พนักงานพาลูกค้าไปยังที่นั่งในโรงภาพยนตร์ที่บรุกลินไปจนถึงพนักงานเสิร์ฟที่ Coney Island และ Catskills (มือของเขาใหญ่กว่าปกติจนทำให้เสิร์ฟได้มากถึง 12 จานด้วยแขนเดียว)
เขาจบปริญญาตรีจากวิทยาลัยบรุกลิน จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัย Dalhousie ใน Nova Scotia ประเทศแคนาดา  เป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลนครบาลในนครนิวยอร์ก
ค.ศ. 1941 เขาแต่งงานกับ Emma ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสามคนเป็นบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวสองคน
เขาเทรนด้านรังสีวิทยาที่โรงพยาบาลนครบาล โรงพยาบาล Bellevue และสถาบันมะเร็งแห่งชาติจนจบในปี ค.ศ. 1944 หลังทำหน้าที่เป็นรังสีแพทย์พลเรือนในสถานี Armed Forces Induction ที่นครนิวยอร์กเขาก็ได้เป็นหัวหน้าหน่วยรังสีวิทยาของโรงพยาบาลทหารสองแห่งระหว่างปี ค.ศ. 1944-1947 โดยยศสูงสุดคือพันตรี
ค.ศ. 1947 เขาไปรับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยรังสีวิทยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกนิวออร์ลีนส์ 
ค.ศ. 1950 เขาไปร่วมงานกับ Monte Lauter ที่ Mobile รัฐแอละแบมาในฐานะรังสีแพทย์คนที่สี่  หลัง Lauter เสียชีวิตเขาก็เป็นผู้นำของโรงพยาบาลและพัฒนาจนมีรังสีแพทย์ถึง 10 คน เขาเป็นหัวหน้าหน่วยรังสีวิทยาของโรงพยาบาล Providence นานถึง 26 ปี
แม้จะทำเวชปฏิบัติส่วนตัวแต่ยังรักในการสอนด้วยโดยรับตำแหน่งอาจารย์ด้านรังสีวิทยาที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยรัฐลุยเซียนาระหว่างปี ค.ศ. 1947-1950 และเป็นวิทยากรด้านรังสีวิทยาที่โรงเรียนแพทย์ Tulane ในรัฐนิวออร์ลีนส์ระหว่างปี ค.ศ. 1961-1979
เขาได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์คลินิกด้านรังสีวิทยาที่วิทยาลัยแพทย์มหาวิทยาลัยเซาท์แอละแบมาในปี ค.ศ. 1976 และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1978
ค.ศ. 1986 Benjamin Felson (1913–1988) รังสีแพทย์ชาวอเมริกันบรรยาย Caldwell Lecture หัวข้อ “Armchair Research and the Practicing Radiologist” ได้ยกตัวอย่างผลงานของ Raider เรื่อง Retrotracheal triangle ในภาพถ่ายรังสีทรวงอกด้านข้างซึ่งขอบหน้าเป็นท่อลม ขอบหลังเป็นกระดูกสันหลังอกส่วนบน  ขอบล่างเป็นส่วนโค้งของเอออร์ตาและเรียกสามเหลี่ยมนี้ว่า Raider’s triangle
หลังเกษียณจากงานเวชปฏิบัติส่วนตัวในปี ค.ศ. 1986 Raider ยังไปรับงานสอนต่อที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเซาท์แอละแบมาจนกระทั่งสายตาเริ่มแย่ลงจึงเกษียณตัวเองในปี ค.ศ. 1997 ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1999 ที่ Mobile รัฐแอละแบมานั่นเอง

เอกสารอ้างอิง
                Brogdon BG. Louis Raider, 1913-1999. AJR 2000;174(5):1322.

Felson B. Caldwell Lecture Armchair Research and the Practicing Radiologist. AJR 1986;147:881-90. 

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

MMM(199) artery of Adamkiewicz

Albert Wojciech Adamkiewicz (1850-1921)

เกิดวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1850 ที่เมือง Zerkow ประเทศโปแลนด์
เป็นบุตรชายของนายแพทย์ Adolf Adamkiewicz  
หลังจบมัธยมในปี ค.ศ. 1868 ก็เข้าเรียนแพทย์ที่ Konigsberg ในปรัสเซียตะวันออก (ปัจจุบันคือ Kalinigrad ประเทศรัสเซีย)  หกเดือนต่อมาก็ย้ายไปยังมหาวิทยาลัยแห่ง Breslau (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยแห่ง Wroclaw) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโปแลนด์ โดยเป็นนักศึกษาผู้ช่วย (student assistant) ที่ภาควิชาสรีรวิทยาทำงานภายใต้ศาสตราจารย์ Rudolf Peter Heinrich Heidenhain (1834-1897) แพทย์ชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงในด้านสรีรวิทยาของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
เมื่อสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเริ่มในปี ค.ศ. 1870 เขาถูกเกณฑ์ไปร่วมในกองทัพ  หนึ่งปีต่อมาสงครามสิ้นสุดศาสตราจารย์ Heidenhain แนะนำให้เขาไปเรียนแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัยแห่ง Wurzburg ในบาวาเรีย โดยเป็นนักศึกษาผู้ช่วยที่ภาควิชาพยาธิวิทยากายวิภาค ภายใต้ศาสตราจารย์ Friedrich Daniel von Recklinghausen (1833-1910) พยาธิแพทย์ชาวเยอรมันผู้บรรยาย von Recklinghausen syndrome
ค.ศ. 1872 เขาได้รับรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันงานวิจัยนักศึกษาจากบทความชื่อ “Die mechanischen Blutstillungsmittel (mechanical method of phlebotomy)”  ต่อมาบทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ใน Langenbecks Archives
ค.ศ. 1873 เขากลับไปที่ Breslau อีกครั้งและจบแพทย์ที่นี่  ไม่กี่สัปดาห์ก็ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยที่ภาควิชาสรีรวิทยาและการแพทย์คลินิกที่มหาวิทยาลัยแห่ง Konigsberg ภายใต้ศาสตราจารย์ Wilhelm von Wittich (1821-1884) แพทย์ชาวเยอรมันหนึ่งในนักสรีรวิทยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคนั้น
ค.ศ. 1875 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการคลินิกของภาควิชาการแพทย์คลินิกโดยทำงานร่วมกับนักพยาธิวิทยาชาวเยอรมัน Bernhard Naunyn (1839-1935)  หนึ่งปีต่อมาก็ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์
ค.ศ. 1877 ตอบรับตำแหน่งแพทย์อาวุโสที่ภาควิชาประสาทวิทยาของโรงพยาบาล Charite มหาวิทยาลัย Humboldt ในกรุงเบอร์ลินตามข้อเสนอของ Carl Friedrich Otto Westphal (1833–1890) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาทชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียง  Westphal เป็นแรงบันดาลใจให้ Adamkiewicz หันมาสนใจศึกษาด้านระบบประสาทส่วนกลางจนได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ด้านพยาธิวิทยาของมหาวิทยาลัย
ค.ศ. 1880 ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยาการทดลองและทั่วไปที่วิทยาลัยแพทย์มหาวิทยาลัย Jagiellonian ใน Krakow ประเทศโปแลนด์  ที่นี่เขาศึกษาระบบเลือดที่เลี้ยงไขสันหลังจนค้นพบ great anterior segmental medullary artery ในปี ค.ศ. 1882 (จึงมีอีกชื่อว่า artery of Adamkiewicz)  นอกจากนี้ยังคิดค้น Adamkiewicz reaction สำหรับตรวจหา typtophan อีกด้วย
ค.ศ. 1886 ได้เป็นสมาชิกของสมาคมอันทรงเกียรติ French Societe de Biologie
แต่แล้วชื่อเสียงก็อยู่ไม่ยาวนาน  เมื่อต้นทศวรรษ 1890 เขาอ้างว่าค้นพบปรสิตที่ก่อโรคมะเร็งชื่อว่า Coccidium sarcolytus  และเสนอให้รักษามะเร็งด้วยการฉีดสารที่เรียกว่า cancroin ทางคณะวิจารณ์เรื่องนี้อย่างแรงจนต้องย้ายไปอยู่กรุงเวียนนาในปี ค.ศ. 1892 ภาควิชาศัลยศาสตร์ซึ่งเพื่อนของเขาศาสตราจารย์ Eduard Albert (1841-1900) ศัลยแพทย์ชาวเชกเป็นผู้อำนวยการอยู่  เขาเริ่มทำวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับสาร cancroin พยายามหลายครั้งแต่ผลปรากฎว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า
เนื่องด้วยสุขภาพที่แย่ลงร่วมกับไม่ได้รับการสนับสนุนจากแวดวงวิชาการจึงตัดสินใจเกษียณจากงานในปี ค.ศ. 1893 แต่ยังคงทำเวชปฏิบัติอย่างเงียบ ๆ โดยเป็นหัวหน้าวอร์ดที่โรงพยาบาลยิว Rothschild ในกรุงเวียนนา
เขาเสียชีวิตที่กรุงเวียนนาในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ค. 1921

เอกสารอ้างอิง
1)            Manjila S, Haroon N, Parker B, Xavier AR, Guthikonda M, Rengachary SS. Albert Wojciech Adamkiewicz (1850-1921): unsung hero behind the eponymic artery. Neurosurg Focus 2009;26(1):1-8.
2)            Pawlina W, Maciejewska I. Albert Wojciech Adamkiewicz 1850-1921. Clinical Anatomy 2002;15:318-20.

3)            Skalski JH, Zembala M. Albert Wojciech Adamkiewicz: The Discoverer of the Variable Vascularity of the Spinal Cord. Ann Thorac Surg 2005;80:1971-5.