วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

MMM(221) บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ (แพทย์แผนไทย)

“หมอชีวกโกมารภัจจ์ บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ (แพทย์แผนไทย)”
ในสมัยพุทธกาล ณ เมืองไพศาลีอันมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มีปราสาทถึง 7,707 หลัง เรือนยอด 7,707 หลัง สวนดอกไม้ 7,707 แห่งและสระโบกขรณี 7,707 สระ  ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเมืองเดียวที่มีหญิงงามเมืองจนได้ชื่อว่าเป็น “นครโสเภณี” ตำแหน่งนี้ในสมัยนั้นเป็นตำแหน่งมีเกียรติเพราะพระราชาทรงแต่งตั้งโดยคัดสตรีที่มีเรือนร่างสะคราญตาที่สุด ชำนาญฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรีอย่างดีเยี่ยม 
                พ่อค้าจากเมืองราชคฤห์จำนวนหนึ่งเดินไปค้าขายที่เมืองไพศาลีเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอุบายนำรายได้เข้าเมือง  เมื่อกลับบ้านจึงเข้าเฝ้ากราบทูลให้พระเจ้าพิมพิสารทราบ  พระองค์เห็นด้วยจึงทรงคัดเลือกหญิงงามเมืองบ้างจนในที่สุดได้แต่งตั้งสตรีวัยรุ่นนางหนึ่งชื่อ “สาลวดี” ให้ดำรงตำแหน่งนี้
                นางสาวลดีครองตำแหน่งนี้ไม่นานก็ตั้งครรภ์โดยบังเอิญ  นางจึงแสร้งทำเป็นป่วยและงดรับแขกชั่วคราวจนกระทั่งคลอดบุตรเป็นชาย  ตกดึกนางสั่งให้หญิงรับใช้คนสนิทเอาทารกน้อยใส่กระด้งไปทิ้งที่กองขยะนอกเมือง  เดชะบุญกุศลบันดาลให้เจ้าฟ้าอภัยพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จผ่านมาพอดี  เห็นฝูงแร้งการุมอยู่ที่กองขยะนั้น  เมื่อมีคนเดินมาใกล้ก็ฝูงแร้งกาก็พากันแตกฮือบินหนีไป  พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปดูว่าแร้งกามันรุมกินอะไร  มหาดเล็กวิ่งไปดูจึงได้ทราบว่ามีเด็กทารกเพศชายนอนอยู่ในกระด้งบนกองขยะ  จึงตรัสถามว่า “ยังมีชีวิตอยู่ หรือตายแล้ว” มหาดเล็กทูลตอบว่า “ยังมีชีวิตอยู่ พะยะค่ะ”  พระองค์ทรงเกิดความสงสารจึงทรงรับสั่งให้นำเข้าวังรับไว้เป็นโอรสบุญธรรม ทรงขนานนามทารกน้อยว่า “ชีวกโกมารภัจจ์” มาจากคำว่า “ชีวโก (ยังมีชีวิตอยู่)” กับคำว่า “โกมารภัจจ์ (บุตรบุญธรรม)” หรือชื่อเรียกตามภาษาไทยว่า “บุญยัง”
                ชีวกเป็นเด็กฉลาดสามารถเอาชนะลูกหลวงอื่นๆได้หมด  เด็กในวังเจ็บใจที่แพ้จึงชอบล้อว่าเป็นลูกไม่มีพ่อแม่บ้าง เป็นเด็กข้างถนนบ้าง  เพื่อเอาชนะคำดูหมิ่นเขาจึงมุมานะที่จะศึกษาหาความรู้เอาชนะลูกผู้ดีให้ได้  เขาตัดสินใจหนีออกจากวังไปยังเมืองตักกศิลาเพื่อเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์  แต่เนื่องจากไม่มีเงินจึงอาสารับใช้พระอาจารย์แทน การเป็นคนขยันขันแข็ง อ่อนน้อมถ่อมตนและตั้งใจเรียนอาจารย์จึงถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ทั้งหมด  เรียนอยู่นาน 7 ปีจนรอบรู้แต่ไม่มีทีท่าว่าจะจบสักทีเริ่มคิดถึงคนทางบ้านจึงเข้าไปเรียนถามอาจารย์ว่าเมื่อไหร่จะถือว่าเรียนจบเสียที  อาจารย์ตอบว่าตั้งใจจะให้เรียนต่ออีกปีสองปีจึงให้กลับแต่ถ้าอยากกลับแล้วจริงๆก็ตามใจ  แต่ขอทดสอบความรู้ก่อนถ้าสอบผ่าจึงจะให้กลับ โดยการสอบคือให้ชีวกสำรวจภายในรัศมี 400 เส้นดูว่าหญ้าชนิดไหน ใบไม้เปลือกไม้ชนิดไหนใช้ทำยาไม่ได้ให้เก็บตัวอย่างมาให้ดู  ชีวกใช้เวลาสำรวจประมาณเจ็ดวันก็กลับมามือเปล่าเพราะต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นใช้ทำยาได้หมด  อาจารย์จึงบอกว่าเรียนจบหลักสูตรแพทย์แล้วให้กลับบ้านได้พร้อมมอบเงินจำนวนเล็กน้อยให้ใช้ระหว่างทาง (ที่ให้น้อยเป็นอุบายเพื่อให้ได้ฝึกใช้วิชาความรู้หาเงินเพิ่มเอง)
                เดินทางถึงเมืองสาเกตซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองตักกศิลากับเมืองราชคฤห์  เสบียงและเงินที่ติดตัวมาก็หมดเกลี้ยง  ขณะกำลังคิดหาทางออกอยู่พอดีก็ได้ยินคนพูดกันว่ามีเมียเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองป่วยเป็นโรคปวดศีรษะมา 7 ปีหมดเงินรักษาไปมากมายไม่หายเสียทีจนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต  ชีวกจึงขันอาสาปรุงยารักษาให้  ปรากฏว่าพอนัตถุ์ยาของหมอชีวกเพียงครั้งเดียวอาการของเมียเศรษฐีก็หายเป็นปลิดทิ้งจึงตบรางวัลให้เขาถึง 4,000 กหาปณะ (ราวหนึ่งหมื่นหกพันบาท)  ชื่อเสียงนำมาซึ่งงานมากมายเมื่อรวบรวมเงินได้เพียงพอแล้วชีวกก็เดินทางกลับเมืองมาตุภูมิทันที  เมื่อถึงเมืองราชคฤห์ก็รีบเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเพื่อขอขมาที่หนีไปโดยไม่บอกกล่าว
                เวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงประชวรด้วยโรค “ภคันทลาพาธ (ริดสีดวงทวารหนัก)” แพทย์หลวงถวายพระโอสถขนาดใดๆก็ไม่หายขาด  จึงทรงรับสั่งให้หมอชีวกเข้าเฝ้า  หมอหนุ่มถวายโอสถเพียงสองสามครั้งก็ทรงหายขาดจากอาการ  เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพิมพิสารมากจึงทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นแพทย์หลวงพร้อมทั้งพระราชทานสวนมะม่วงให้ด้วย
                ครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน วัดแห่งแรกที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวาย  พระพุทธองค์เกิดเป็นโรคท้องผูกอย่างแรง  พระอานนทเถระจึงไปขอร้องให้หมอชีวกถวายการรักษาพระพุทธองค์  หมอชีวกรู้สึกปลาบปลื้มใจมากที่จะได้มีโอกาสถวายการรักษาพระพุทธองค์ เขาจึงหาก้านอุบลมาสามก้านแล้วนำมาอบยาไปถวายให้พระพุทธองค์ทรงสูดก้านละครั้ง เมื่อทรงสูดยาที่ได้รับก็ทรงถ่ายพระบังคนหนัก (อุจจาระ) ออกเป็นปกติ  หมอชีวกเลื่อมใสในพระพุทธองค์เป็นอย่างมากจึงกราบทูลถวายตัวเป็นคิลานุปัฏฐากของพระองค์  นอกจากนี้ยังถวายสวนมะม่วงให้เป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ด้วย
              ชื่อเสียงของหมอชีวกแพร่สะพัดไปทั่วว่าเป็นหมอเทวดา โด่งดังไปถึงเมืองอุชเชนี แคว้นอวันตีซึ่งอยู่ห่างไกลไปทางทิศตะวันตก พระเจ้าจัณฑปัชโชต กษัตริย์ผู้โหดร้ายประชวรด้วยโรค ปัณฑุโรค (ดีซ่าน)”   จึงทรงส่งพระราชสาส์นไปยังพระเจ้าพิมพิสารขอตัวแพทย์หลวงไปถวายการรักษา หมอชีวกถวายการรักษาจนหายแต่ก็เกือบถูกประหารชีวิตเพราะพระองค์ไม่ชอบเนยใสแต่ยาหมอชีวกจำเป็นต้องใส่เนยใส ถึงกับสั่งคนออกตามล่าหมอชีวก แต่หมอชีวกก็เอาชีวิตรอดกลับมาได้ด้วยปัญญา 
เมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชตหายประชวรแล้วทรงสำนึกในบุญคุณหมอชีวกจึงทรงส่งผ้ากัมพลหรือผ้าแพรเนื้อละเอียดอย่างดีสองผืนไปพระราชทานแก่หมอชีวกถึงกรุงราชคฤห์พร้อมกับมีพระราชสาส์นไปขอบพระทัยพระเจ้าพิมพิสารด้วย หมอชีวกได้นำผ้าสองผืนนั้นไปถวายพระพุทธองค์  สมัยนั้นพระภิกษุห้ามรับผ้าสำเร็จจากคฤหัสถ์จะต้องหาเศษผ้าที่ชาวบ้านทิ้งแล้วมาเย็บจีวรเอง  หมอชีวกวิงวอนจนพระพุทธองค์ทรงรับผ้ารวมถึงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้าสำเร็จที่ชาวบ้านถวายได้ตั้งแต่บัดนั้นมา
เหตุการณ์ระทึกขวัญไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อพระพุทธองค์ถูกพระเทวทัตลอบทำร้ายโดยกลิ้งหินบนยอดเขาคิชฌกูฏหมายจะให้ทับพระองค์ ด้วยเดชะพระบารมีก้อนหินนั้นกลิ้งลงปะทะง่อนผาเบื้องบนพระเศียรทำให้กระเด็นไปทางอื่น  อย่างไรก็ตามสะเก็ดหินได้กระเด็นไปโดนพระบาททำให้ห้อพระโลหิต  พระสงฆ์สาวกช่วยกันหามพระพุทธองค์มายังสวนมะม่วงที่ประทับ  ขณะรักษาคนไข้ในเมืองพอหมอชีวกทราบข่าวว่าพระพุทธองค์ถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บก็รีบไปยังสวนมะม่วงทันที ได้ถวายการรักษาโดยชะล้างและพันแผลให้ก่อนจะทูลลาไปดูคนไข้ในเมืองต่อ
                ตลอดชีวิตของหมอชีวกโกมารภัจจ์ได้บำเพ็ญแต่คุณงามความดี ช่วยเหลือผู้ป่วยโดยไม่เลือกฐานะจนได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นเอตทัคคะในด้าน "เป็นที่รักของปวงชน"

เอกสารอ้างอิง
                เสฐียรพงษ์ วรรณปก. ชีวิตตัวอย่าง หมอชีวกโกมารภัจจ์  

                พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม. ชาดกและประวัติพุทธสาวก-พุทธสาวิกา 

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

MMM(220) ครูใหญ่แห่งงานสาธารณสุขมูลฐานและบิดาแห่ง อสม.

“ครูใหญ่แห่งงานสาธารณสุขมูลฐานและบิดาแห่ง อสม.”

ดร.นพ.อมร นนทสุต (Amorn Nondasuta)


                เกิดวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1928 ที่ตำบลรองเมือง อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน)
เป็นบุตรคนสุดท้องของนาวาเอกพระแสงสิทธิการ (แสง นนทสุต) รน. กับนางประชิต นนทสุต (นามสกุลเดิมปายะนันท์)
ค.ศ. 1944 จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก
                ค.ศ. 1952 จบปริญญาตรีแพทยศาสตร์บัณฑิตศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ รุ่นที่ 57
                1 มิถุนายน ค.ศ. 1953 รับราชการในกรมอนามัยเป็นนายแพทย์ตรีกองอนามัยโรงเรียน  หนึ่งเดือนต่อมาก็ไปเป็นอนามัยจังหวัดแพร่ (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในปัจจุบัน) ได้สร้างต้นแบบโครงการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนในจังหวัดแพร่และเชียงใหม่โดยใช้เกลืออนามัยจนสถิติผู้ป่วยลดลงอย่างชัดเจนและค่อย ๆ หมดลงไปในที่สุดในหลาย ๆ พื้นที่
                6 มีนาคม ค.ศ. 1955 สมรสกับแพทย์หญิงอนงค์ บุญยังพงศ์ ทั้งสองมีบุตรบุญธรรม 1 คนคือนายประจักรา นนทสุต
                ค.ศ. 1961 จบปริญญาโทสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา
                1 ตุลาคม ค.ศ. 1963 กลับมารับตำแหน่งอนามัยจังหวัดเชียงใหม่
                3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1966 ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการกองโภชนาการ
                ค.ศ. 1968 อาจารย์สมบูรณ์ วัชโรทัยและอาจารย์กำธร สุวรรณกิจ ทำโครงการส่งเสริมบริการอนามัยชนบทอยู่ที่อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลกโดยจ้างคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านมาช่วยกันทำเรื่องสุขภาพในชุมชน อาจารย์ทั้งสองมีความคิดจะขยายงานไปยังจุดต่าง ๆ ของประเทศจึงมาชวนให้นพ.อมรทำ
                ท่านเริ่มโครงการนี้ที่อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่แต่วิธีการต่างกันคือไม่ใช้การจ้างคนหนุ่มสาวมาทำ   ท่านนำเทคนิค social metric ที่ได้จากฮาร์วาร์ดมาใช้โดยเข้าไปคุยกับชาวบ้านแล้วสอบถามว่าเวลาเจ็บป่วยมักจะไปปรึกษาใคร  เมื่อทำแผนภาพออกมาจะพบว่าเป็นผู้อาวุโสหรือผู้ที่ได้รับการนับถือจากชาวบ้านกระจายไปโดยเฉลี่ยแล้วทุก ๆ 15 หลังคาเรือนจะมีหนึ่งคน  ท่านจะให้ความรู้แก่บุคคลเหล่านี้เพื่อนำไปกระจายต่อในชุมชนเรียกว่าเป็น “ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.)” เมื่อทำไปสักระยะเห็นว่าชาวบ้านมีความสามารถในการรักษาพยาบาลได้ด้วยจึงสอนวิชาการรักษาเบื้องต้นเพิ่มเติมให้และยกฐานะเป็น “อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)”  ที่ไม่ใช้เงินจ้างแต่ให้เป็นอาสาสมัครแทนเพราะอยากให้ภูมิใจในสิ่งทำโครงการจะได้ยั่งยืน
                21 ตุลาคม ค.ศ. 1970 ได้รับตำแหน่งนายแพทย์ใหญ่กรมอนามัย
1 ตุลาคม ค.ศ. 1973 เป็นรองอธิบดีส่งเสริมสาธารณสุข (กรมอนามัย)
1 ตุลาคม ค.ศ. 1974 เป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
                ค.ศ. 1977 หลังได้รับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้มีส่วนร่วมในการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 4 (ค.ศ. 1977-1981) จึงนำเรื่อง ผสส. อสม. บรรจุเข้าไปด้วยรวมถึงงานสาธารณสุขมูลฐานด้วย ปีต่อมา ค.ศ. 1978 แพทย์ชาวเดนมาร์ก Halfdan T. Mahler (เกิด 21 เมษายน ค.ศ. 1923) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1973-1988) ประกาศนโยบาย “สุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for all)” พอดีซึ่งใช้หลักของสาธารณสุขมูลฐานให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตัวเอง  ประเทศไทยก็เริ่มงานสาธารณสุขมูลฐานอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา แต่การผลักดันเรื่องสุขภาพดีถ้วนหน้าพบว่ามีอุปสรรคเนื่องจากชาวบ้านไม่สนใจเรื่องสุขภาพเท่าไหร่ จึงเปลี่ยนนโยบายเป็น “คุณภาพชีวิตดีถ้วนหน้า (Quality of life for all)” แทนแล้วแทรกเรื่องสุขภาพลงไปโครงการจึงเป็นผลสำเร็จ
                1 ตุลาคม ค.ศ. 1980 เป็นอธิบดีกรมอนามัย ท่านเป็นผู้นำสาธารณสุขมูลฐานเข้ามาใส่ในงานของกองโภชนาการ
                1 ตุลาคม ค.ศ. 1983 ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ท่านสนับสนุนการสร้างโรงพยาบาลชุมชนทุกอำเภอและสร้างสถานีอนามัยตำบลทุกตำบล  นอกจากนี้ยังผลักดันเป้าหมายความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) เป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพและความสำเร็จของการพัฒนาในแผนการส่งเสริมสุขภาพ
                ค.ศ. 1986 ได้รับปริญญาสาธารณสุขศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล
                1 มกราคม ค.ศ. 1987 ลาออกจากราชการด้วยเหตุรับราชการนาน
                แนวคิดที่ท่านยึดถือในการทำงานเสมอคือ ต้องเชื่อว่าชาวบ้านเขาทำได้ อันนี้สำคัญมาก อย่าดูถูกเขาเป็นอันขาด อย่าไปนึกว่าเราใหญ่กว่าเขา เรามีความรู้เยอะแยะอะไรแบบนี้จะไปไม่รอด ถ้าทำงานกับสังคมอย่าไปถือว่าตัวเองเหนือกว่า ชาวบ้านเขาก็เป็นครูเราได้" ปัจจุบันอาจารย์ยังทำงานต่อเนื่องในแวดวงสาธารณสุขโดยทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสนับสนุนและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น  ผลงานสำคัญชิ้นสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือการผลักดันการจัดทำแผนที่ยุทธศาสตร์ในงานสาธารณสุขนั่นเอง

คำประกาศเกียรติคุณและรางวัลที่ได้รับ 
ค.ศ. 1982 รางวัล “สมเด็จพระวัณรัตปุณณสิริจากแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย 
ค.ศ. 1986 รางวัล Sasakawa Health Prize ขององค์การอนามัยโลก จากผลงานสาธารณสุขมูลฐาน (เป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้)  และได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณข้าราชการดีเด่น จากสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย 
ค.ศ. 1992 รางวัลเหรียญทอง Ceres ขององค์การอาหารและเกษตร จากผลงานควบคุมโรคคอพอก   และได้รับโล่บุคคลดีเด่นด้านสาธารณสุข จากกระทรวงสาธารณสุขเนื่องในโอกาสวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข 50 ปี
ค.ศ. 2005 รางวัลนักสุขศึกษาดีเด่นกิตติมศักดิ์
ค.ศ. 2012 รางวัลนักบริหารโรงพยาบาล  
กระทรวงสาธารณสุขสมัยที่ดร.นพ.อมร นนทสุต ดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวงได้มีนวัตกรรมงานสาธารณสุขเกิดขึ้นมากมายจนได้ชื่อว่าเป็น ยุคทองของวงการสาธารณสุขไทย

เอกสารอ้างอิง
พงศธร พอกเพิ่มดี. หลังประติมาสาธารณสุข 20 เบื้องหลังการขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน); 2553. หน้า 61-70.
วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย 2555; 2(3): 213-4.
สันติสุข โสภณสิริ. 80 ปี นายแพทย์อมร นนทสุต เพชรจรัสแสงแห่งวงการสาธารณสุขไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2552.

                

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

MMM(219) K-ration

Ancel Benjamin Keys (1904-2004)

เกิดวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1904 ที่เมือง Colorado Springs รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นบุตรชายของ Benjamin Pious Keys (1883-1961) และ Carolyn Emma Chaney (1885-1960)
ค.ศ. 1906 ครอบครัวย้ายไปยังเมืองซานฟานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย  หลังเกิดแผ่นดินไหวในปีนั้นเองก็ย้ายไปอยู่เมืองเบิร์กลีย์
ด้วยความที่เป็นเด็กฉลาดเขาจึงได้รับเลือกเป็น 1 ใน 1,528 เด็กอัจฉริยะของงานวิจัย “Terman Study of the Gifted” โดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Lewis Madison Terman (1877-1956)
ค.ศ. 1922 เข้าเรียนปริญญาตรีด้านเคมีที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียในเบิร์กลีย์แต่ไม่ชอบจึงเปลี่ยนไปเรียนเศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์การเมืองจนจบในปี ค.ศ. 1925 จากนั้นเรียนต่อปริญญาโทด้านสัตววิทยาที่เบิร์กลีย์จนจบในปี ค.ศ. 1928  เขาทำงานที่บริษัท F. W. Woolworth ไม่นานก็เรียนต่อปริญญาเอกด้านสมุทรศาสตร์และชีววิทยาที่สถาบัน Scripps ใน La Jolla แคลิฟอร์เนียจนจบในปี ค.ศ. 1930
เขาได้รับทุนจากสภาวิจัยแห่งชาติให้ไปศึกษาต่อภายใต้นักสรีรวิทยาชาวเดนมาร์ก Schack August Steenberg Krogh (1874-1949) ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กเป็นเวลาสองปี  จากนั้นก็ไปยังประเทศอังกฤษเรียนจบปริญญาเอกใบที่สองด้านสรีรวิทยาที่ King’s College เคมบริดจ์ในปี ค.ศ. 1936
ค.ศ. 1936 เขากลับมารับตำแหน่งที่มูลนิธิ Mayo ในเมืองรอเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก ที่นี่เองเขาจ้าง Margaret Haney (1909-2006) มาเป็นนักเทคโนโลยีการแพทย์  ค.ศ. 1937 เขาย้ายไปรับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยแห่งมินิโซตาโดยก่อตั้งห้องปฏิบัติการสุขอนามัยสรีรวิทยาขึ้นมาใหม่
ค.ศ. 1939 เขาแต่งงานกับ Haney ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นบุตรชาย 1 คนคือ Henry Keys และบุตรสาว 2 คนคือ Carrie D’Andrea กับ Martha McLain
เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองทางรัฐบาลมอบหมายให้เขาออกแบบอาหารสำหรับทหารให้มีน้ำหนักเบาพกพาง่ายแต่คงคุณค่าทางโภชนาการและเก็บได้นานถึงสองสัปดาห์  เป็นที่มาของอาหาร K-ration นั่นเอง โดย K หมายถึง Keys ไม่ใช่วิตามินเค
ค.ศ. 1944-1945 เขาและเพื่อนร่วมงานทำการวิจัยเกี่ยวกับผลด้านสรีรวิทยาและจิตวิทยาต่อภาวะถูกจำกัดด้านอาหารเรียกว่า “Minnesota Starvation Experiment” นำไปสู่การตีพิมพ์ตำราขนาดสองเล่มหนา 1,385 หน้าที่ชื่อ “The Biology of Human Starvation” ในปี ค.ศ. 1950
เขาเสนอสมมติฐานว่าไขมันแต่ละชนิดมีผลต่อสุขภาพแตกต่างกัน  ค.ศ. 1947 เขาทำวิจัยในนักธุรกิจ 283 คนจากเมืองมินนีแอโพลิสและเซนต์พอล รัฐมินิโซตาเป็นเวลาสิบปีและสรุปว่าไขมันอิ่มตัวเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของโรคหลอดเลือดหัวใจ  เขาร่วมกับภรรยาตีพิมพ์หนังสือ “Eat Well & Stay Well” ในปี ค.ศ. 1959
หนังสือขายดีจนสร้างความตื่นตัวในการบริโภคอาหารไขมันต่ำ  เป็นเหตุให้ได้ลงหน้าปกนิตยสาร Time ฉบับวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1961
เขาได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการด้านอาหารและการเกษตรขององค์การอนามัยโลกคนแรกและเป็น Fullbright fellow ที่อ๊อกซฟอร์ด  ทศวรรษ 1950 เขาถูกท้าทายจากเพื่อนร่วมงานชาวอิตาลีว่าโรคหัวใจไม่ใช่ปัญหาในอิตาลีจึงนำไปสู่การศึกษาที่เรียกว่า Seven Countries Study เพื่อเปรียบเทียบอัตราการตายกับอาหารของประเทศอุตสาหกรรม 7 ประเทศ  การศึกษาเริ่มในปี ค.ศ. 1958 กับชายวัยกลางคน 12,000 คนในอิตาลี หมู่เกาะกรีก ยูโกสลาเวีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ญี่ปุ่นและสหรรัฐอเมริกา  ผลการวิจัยตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1970 พบว่าประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งกินน้ำมันมะกอกซึ่งเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าประเทศฟินแลนด์ที่กินน้ำมันจากสัตว์ซึ่งเป็นน้ำมันอิ่มตัว 
ค.ศ. 1972 เขาเกษียณจากมหาวิทยาลัยแห่งมินิโซตา
ค.ศ. 1975 เขาร่วมกับภรรยาตีพิมพ์หนังสือ “Eat Well & Stay Well the Mediterranean Way” ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีอีกเช่นกัน
ค.ศ. 1991 บุตรสาวของเขา Martha McLain เสียชีวิตไปก่อน  ส่วนตัวเขาเองเสียชีวิตในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 ด้วยวัย 100 ปี มีคนถามเขาว่าที่อายุยืนนานและสุขภาพแข็งแรงนั้นเกี่ยวกับอาหารที่เขากินใช่หรือไม่? เขาตอบว่า “Very likely, but no proof.