วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

MMM(166) Glenn's Urologic Surgery

James "Jim" Francis Glenn (1928-2009)


เกิดวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 ที่เล็กซิงตัน เคนทักกี ประเทศสหรัฐอเมริกา

จบ Bachelor of Arts ที่มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ในเวลา 3 ปีเมื่อปี ค.ศ. 1949 จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัย Duke ในเวลา 3 ปีเมื่อปี ค.ศ. 1952

เรียนด้านศัลยศาสตร์ทั่วไปที่โรงพยาบาล Peter Brent Brigham อยู่ 2 ปีก่อนจะเรียนต่อด้านศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะที่มหาวิทยาลัย Duke ระหว่างปี ค.ศ. 1956 - 1959

หลังจบก็ไปเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเยล 2 ปี และเป็นรองศาสตราจารย์ที่โรงเรียนแพทย์ Bowman Gray มหาวิทยาลัย Wake Forest 2 ปี ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งศาสตราจารย์และเป็นหัวหน้าศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะที่มหาวิทยาลัย Duke ในปี ค.ศ. 1963 (นั่นคือได้เป็นศาสตราจารย์ภายในเวลาเพียง 4 ปี ว้าว!)

ค.ศ. 1967 เขากับเพื่อนร่วมงานคือ Edward Everett Anderson เสนอเทคนิคการผ่าตัดรักษา vesico-ureteral reflux (VUR) ที่เรียกว่า Glenn-Anderson procedure สองปีต่อมา ค.ศ. 1969 Glenn ตีพิมพ์ตำรา “Urologic Surgery” เป็นครั้งแรกและได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน

เขาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Duke นาน 17 ปี ก่อนจะไปรับตำแหน่งคณบดีโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัย Emory ระหว่างปี ค.ศ. 1980 – 1983 และไปรับตำแหน่งประธานโรงเรียนแพทย์ Mount Sinai ระหว่างปี ค.ศ. 1983 – 1987 จากนั้นก็กลับมายังเล็กซิงตันโดยรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเคนทักกี (ต่อมาเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ)

หลังฉลองวันเกิดครบรอบ 81 ปีเพียง 1 เดือน วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2009 Glenn ก็เสียชีวิตที่เล็กซิงตัน เคนทักกี ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะกำลังดำเนินการตีพิมพ์ตำรา “Glenn’s Urologic Surgery” ฉบับล่าสุดซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2010

หมายเหตุ Glenn shunt เป็นของอีกคนนะครับ


วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

MMM(165) Crooke's cells

Arthur Carleton Crooke (1905-1990)

เกิดวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1905 Frodingham, Scunthorpe, Lincolnshire ประเทศอังกฤษ

เข้าเรียนที่ Uppingham and Queens’ college มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และโรงพยาบาลลอนดอน โดยจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1931

เขาสนใจ histology ของต่อมใต้สมองเพราะได้รับแรงบันดาลใจจาก Dorothy Stuart Russell (1895-1983) พยาธิแพทย์ชาวออสเตรเลียที่โรงพยาบาลลอนดอนผู้จัดระบบจำแนกเนื้องอกของระบบประสาทส่วนกลาง และที่สหรัฐอเมริกาโดย Harvey Williams Cushing (1869-1939) ศัลยแพทย์ระบบประสาทชาวอเมริกันผู้ค้นพบเนื้องอกของต่อมใต้สมองกับ Herbert McLean Evans (1882-1971) แพทย์ชาวอเมริกันผู้แยก Growth Hormone ของมนุษย์ได้จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า

ค.ศ. 1935 Crooke ค้นพบ Hyalinated basophilic cells ในต่อมใต้สมองของผู้ป่วย Cushing’s syndrome ที่กำลังจะตาย เซลล์นี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Crooke's cells

ค.ศ. 1936 เขาแต่งงานกับ Nancy ทั้งสองมีบุตรชาย (Christopher Crooke) และบุตรสาวด้วยกัน

เขาก่อตั้งหน่วยโรคต่อมไร้ท่อในสหราชอาณาจักรเป็นคนแรกที่โรงพยาบาลลอนดอนและมีชื่อเสียงจากงานวิจัยการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วย gonadotrophins

ค.ศ. 1948 เขาย้ายไปเป็นแพทย์ที่ปรึกษาด้านโรคต่อมไร้ท่อที่ Women's Hospital ในเบอร์มิงแฮม

ค.ศ. 1955-1956 ดำรงตำแหน่งประธานหน่วยต่อมไร้ท่อของราชสมาคมแห่งแพทยศาสตร์ (Royal Society of Medicine)

เขาเกษียณในปี ค.ศ. 1970 จากนั้นก็ไปเป็นที่ปรึกษาขององค์การอนามัยดูแลโครงการวางแผนครอบครัวในตะวันออกกลาง

Crooke เสียชีวิตในวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1990

เอกสารอ้างอิง

http://www.bmj.com/content/301/6745/234.extract

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

MMM(164) Epstein-Barr virus

Sir Michael Anthony “Tony” Epstein (born 1921)

เกิดวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1921 ที่ Willesden กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
จบการศึกษาจาก St.Paul School ในกรุงลอนดอน จากนั้นก็เข้าเรียนที่วิทยาลัย Trinity มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และโรงเรียนแพทย์โรงพยาบาล Middlesex หลังเรียนจบก็เป็นผู้ช่วยพยาธิแพทย์ที่โรงพยาบาล Middlesex
ค.ศ. 1957 Denis Parsons Burkitt (1911–1993) ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษทำงานที่โรงพยาบาล Mulago ในเมือง Kampala สาธารณรัฐยูกันดาในแอฟริกาตะวันออกพบว่ามีมะเร็งชนิดหนึ่งที่กรามในเด็กที่นั่นพบบ่อยมาก หนึ่งปีต่อมาเขารายงานเรื่องนี้เป็นบทความชื่อ A Sarcoma Involving the Jaws in African Children” ตีพิมพ์ในวารสาร British Journal of Surgery (ปัจจุบันมะเร็งนี้มีชื่อว่า Burkitt's lymphoma)
ค.ศ. 1961 Epstein ได้เข้าฟังการบรรยายของ Burkitt ในหัวข้อ "The Commonest Children's Cancer in Tropical Africa — A Hitherto Unrecognised Syndrome." และเกิดความสนใจจึงขอตัวอย่างชิ้นเนื้อจาก Burkitt เพื่อนำมาศึกษา
ค.ศ. 1963 Burkitt ส่งตัวอย่างชิ้นเนื้อมะเร็งนี้มายังสถาบัน Bland Sutton โรงพยาบาล Middlesex ซึ่ง Epstein ร่วมกับนักไวรัสวิทยาชาวอังกฤษ Yvonne M. Barr (เกิด ค.ศ. 1932) และพยาธิแพทย์ชาวทรินิแดด Bertrand Geoffrey Achong (1928-1996) เพาะได้เชื้อไวรัส Human herpesvirus 4 (HHV-4) ทั้งสามตีพิมพ์บทความชื่อ “Virus particles in cultured lymphoblasts from Burkitt's lymphoma.” ในวารสาร Lancet ปี ค.ศ. 1964 เชื้อไวรัสนี้รู้จักกันในอีกชื่อว่า Epstein-Barr Virus (EBV) นับเป็นเชื้อไวรัสชนิดแรกที่พบว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งในมนุษย์
ค.ศ. 1968-1982 Epstein ไปรับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยาที่มหาวิทยาลัยแห่งบริสตอลและดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านพยาธิวิทยาระหว่างปี ค.ศ. 1968-1985
ค.ศ. 1985 เขาย้ายไปรับตำแหน่งที่วิทยาลัย Wolfson มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
ค.ศ. 1986 เขาประพันธ์ตำราชื่อ “The Epstein-Barr virus” ร่วมกับ Achong
เขาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir ในปี ค.ศ. 1991 และปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านพยาธิวิทยาของมหาวิทยาลัยแห่งบริสตอล
Yvonne M. Barr (born 1932)

เกิดในปี ค.ศ. 1932 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เธอเป็นนักไวรัสวิทยาชาวอังกฤษผู้ช่วยของ Epstein ที่โรงพยาบาล Middlesex ตอนค้นพบ Epstein-Barr virus
จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยลอนดอนในปี ค.ศ. 1966 ต่อมาแต่งงานกับคนออสเตรเลียและไปตั้งรกรากที่ประเทศออสเตรเลีย
Bertrand “Bert” Geoffrey Achong (1928-1996)

เกิดวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1928 ที่ประเทศทรินิแดด
ผลการเรียนที่ทรินิแดดดีมากจนได้เข้าเรียนแพทย์ที่ University College Dublin (UCD) ประเทศไอร์แลนด์ หลังจบแพทย์ที่ไอร์แลนด์ก็ไปเรียนต่อด้านพยาธิวิทยาคลินิกที่มหาวิทยาลัยแห่งบริสตอล ประเทศอังกฤษและทำงานที่โรงพยาบาล Lambeth เขาเป็นผู้บรรยายด้านพยาธิวิทยาที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแห่งบริสตอล
ค.ศ. 1964 เขาค้นพบเชื้อ Epstein-Barr virus ร่วมกับ Epstein และ Barr (แต่ไม่มีชื่อเขาในชื่อไวรัส) นอกจากนี้เขายังค้นพบเชื้อ Human foamy virus (HFV) ในปี ค.ศ. 1971 อีกด้วย
ค.ศ. 1986 เขาประพันธ์ตำราชื่อ “The Epstein-Barr virus” ร่วมกับ Epstein
Achong เสียชีวิตในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

MMM(163) Discoverer of phagocytosis

Ilya Ilyich Mechnikov (ต่อมาใช้ชื่อว่า Elie Metchnikoff) (1845-1916)


เกิดวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1845 ที่หมู่บ้านใกล้ Kharkov อาณาจักรรัสเซีย

เป็นบุตรชายคนเล็กสุดของ Ilya Mechnikov เจ้าหน้าที่องครักษ์ผู้เป็นเจ้าของที่ในที่ราบกว้างใหญ่ของยูเครน ส่วนมารดา Emilia เป็นชาวยิวมาจากตระกูล Nevakhowitch

เขาเรียนที่ Kharkov และสนใจในประวัติศาสตร์ธรรมชาติมาตั้งแต่ยังเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาพฤกษศาสตร์และธรณีวิทยา

เขาเข้าเรียนวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่มหาวิทยาลัยแห่ง Kharkov โดยขยันมากจนเรียนจบภายใน 2 ปีจากหลักสูตรจริง ๆ 4 ปี หลังจบก็ไปศึกษาสัตว์ทะเลที่เกาะแห่ง Heligoland ประเทศเยอรมนี จากนั้นก็ไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่ง Giessen ภายใต้ Leuckart ต่อมาไปที่มหาวิทยาลัยแห่ง Göttingen และทำงานที่ห้องปฏิบัติการของ von Siebold ใน Munich Academy ที่ Giessen ค.ศ. 1865 เขาสังเกตเห็นกระบวนการย่อยภายในเซลล์ของหนอนพยาธิตัวแบนซึ่งนำมาสู่การค้นพบสำคัญในเวลาต่อมา

ค.ศ. 1867 เขากลับมายังรัสเซียโดยรับตำแหน่ง docent ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Odessa (ปัจจุบันอยู่ในยูเครน) จากนั้นก็ไปรับตำแหน่งเดียวกันที่มหาวิทยาลัยแห่ง St. Petersburg ก่อนจะกลับมารับตำแหน่ง Titular Professor ด้านสัตววิทยาและกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยแห่ง Odessa ในปี ค.ศ. 1870

ที่ St. Petersburg เขาได้พบกับภรรยาคนแรกคือ Ludmilla Feodorovitch เธอป่วยหนักจากวัณโรคจนต้องนั่งรถเข็นมาทำพิธีแต่งงานที่โบสถ์ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของเธอไว้แต่ในที่สุดเธอก็เสียชีวิตในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1873 การเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายประกอบกับมีปัญหาในการทำงานจึงพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินฝิ่นปริมาณมาก โชคดีที่ไม่เสียชีวิตและที่ Odessa นั้นเองเขาได้พบกับภรรยาคนที่สองคือ Olga Belokopytova ทั้งสองแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1875

ค.ศ. 1880 Olga ป่วยหนักจากไข้ไทฟอยด์ Mechnikov คิดจะฆ่าตัวตายอีกครั้งแต่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่นจึงใช้วิธีเอาตัวเองเป็นหนูทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า relapsing fever ติดต่อทางเลือดหรือไม่ เขาป่วยหนักจาก relapsing fever แต่ก็ไม่ตายอยู่ดี หลังจากฟื้นตัวในปี ค.ศ. 1882 ก็ขอลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากสร้างความลำบากให้กับมหาวิทยาลัย

เขาไปตั้งห้องปฏิบัติการส่วนตัวที่ Messina ศึกษาด้านคัพภวิทยาเปรียบเทียบ วันหนึ่งขณะคนอื่นในครอบครัวออกไปดูละครสัตว์กันเหลือเขาอยู่ที่ห้องปฏิบัติการคนเดียว จากการศึกษาตัวอ่อนของปลาดาวเขาเห็นเซลล์ที่เคลื่อนไหวได้จึงสงสัยว่ามันทำหน้าที่ป้องกันตัวเองจากสิ่งแปลกปลอมหรือเปล่า เพื่อทดสอบสมมติฐานเขานำหนามต้นส้มเขียวหวานที่เตรียมไว้ทำต้นคริสมาสต์ให้แก่ลูก ๆ ใส่เข้าไป เช้าวันรุ่งขึ้นปรากฎว่าเซลล์ที่เคลื่อนไหวได้นั้นไปอยู่ล้อมรอบหนามดังกล่าว เขารู้ทันทีว่าสัตว์ที่มีระบบไหลเวียนเลือดเมื่อรับเชื้อโรคเข้าไปเม็ดเลือดขาวจะออกมาจากหลอดเลือดและเข้าไปกินเชื้อโรคดังกล่าวซึ่งทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ

ระหว่างเดินทางกลับ Odessa เขาแวะที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียและอธิบายแนวคิดนี้แก่ Carl Friedrich Claus (1835–1899) ศาสตราจารย์ด้านสัตววิทยาและกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบที่กรุงเวียนนา Claus เป็นคนเสนอให้ตั้งชื่อเซลล์นี้ว่า phagocyte มาจากภาษากรีก “phago” ที่แปลว่า “กิน” กับ “kytos” ที่แปลว่า “เซลล์”

ค.ศ. 1883 Mechnikov เสนอบทความแรกเกี่ยวกับกระบวนการ phagocytosis ที่ Odessa ความสำคัญของการค้นพบนี้ทำให้เขาเลิกมองโลกในแง่ร้ายและหันมามุ่งมั่นพิสูจน์แนวคิดของเขา

ค.ศ. 1886 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันใหม่ที่ Odessa เพื่อดำเนินการเรื่องวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของปาสเตอร์ แต่ท้องถิ่นนั้นไม่ค่อยยอมรับการใช้วัคซีนนี้ประกอบกับเขาไม่ได้จบทางการแพทย์ด้วยการทำงานจึงยิ่งยากลำบาก ค.ศ. 1888 เขาจึงย้ายไปยังกรุงปารีสเพื่อขอคำแนะนำจากปาสเตอร์ สถาบันปาสเตอร์มอบตำแหน่งพร้อมกับห้องปฏิบัติการให้ เขาจึงอยู่ที่นั่นจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต

นอกจากงานด้านภูมิคุ้มกันวิทยาแล้ว Mechnikov ยังศึกษาเรื่องสาเหตุของความชราอีกด้วย จากการที่ชาวบัลกาเรียมีอายุยืนเขาจึงเสนอสมมติฐานว่าความชราเกิดจากแบคทีเรียที่สร้างสารพิษในลำไส้ การหยุดยั้งแบคทีเรียเหล่านี้ทำได้โดยการกินโยเกิร์ตซึ่งผ่านการหมักของแบคทีเรียที่สร้างกรดแลคติกนั่นเอง ค.ศ. 1905 Stamen Grigorov (1878-1945) แพทย์ชาวบัลกาเรียค้นพบว่าโยเกิร์ตเกิดจากการหมักของแบคทีเรียรูปแท่งที่ชื่อ Lactobacillus delbrueckii subsp. Bulgaricus (delbrucekii ตั้งตามชื่อ M. Delbrueck นักแบคทีเรียวิทยาชาวเยอรมัน)

Mechnikov ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี ค.ศ. 1908 จากการค้นพบกระบวนการ phagocytosis และต่อมาเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1916

แนวคิดเรื่องสาเหตุความชราของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้แพทย์ชาวญี่ปุ่น Minoru Shirota (1899-1982) เพาะเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ที่สร้างกรดแลคติกอย่างแรงชื่อ Lactobacillus casei strain shirota ในปี ค.ศ. 1930 และใช้ผลิตนมเปรี้ยวออกสู่ตลาดเมื่อปี ค.ศ. 1935 ในชื่อการค้าที่เรารู้จักกันดีคือ “ยาคูลท์ (Yakult)” นั่นเอง

เอกสารอ้างอิง

http://nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/1908/mechnikov-bio.html