วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(174) trifascicular nature of intraventricular cardiac conduction

Mauricio Bernado Rosenbaum (1926-2003)


เกิดวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1926 ใน Carlos Cesares กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา บิดามารดาของเขาเป็นผู้อพยพชาวรัสเซีย

เขาเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัย Cordoba ค.ศ. 1945 เขาและคณะจำแนก ventricular pre-excitation ออกเป็น type A และ B เรียกว่า Rosenbaum’s classification ซึ่งยังคงใช้ได้ในปัจจุบัน

เขาจบแพทย์จากมหาวิทยาลัย Cordoba ในปี ค.ศ. 1946 ได้ doctorate ในปี ค.ศ. 1951 จากนั้นก็เทรนด้านอายุรศาสตร์ที่ Cordoba Hospital Nacional de Clinicas ภายใต้ศาสตราจารย์ Jorge Orgaz และเทรนต่อด้านหทัยวิทยาที่โรงพยาบาล Ramos Mejia ภายใต้ศาสตราจารย์ Blas Moia

ค.ศ. 1952 - 1962 เขาอุทิศเวลาหลายปีศึกษาระบาดวิทยาของโรค Chagas ซึ่งมีความสำคัญในประเทศอาร์เจนตินา บทความของเขาชื่อ “Chagasic Myocardiopathy” ในวารสาร Progress in Cardiovascular Diseases เมื่อปี ค.ศ. 1964 ยังคงได้รับการอ้างอิงจนถึงปัจจุบัน ผลงานนี้นำไปสู่การรณรงค์ควบคุมโรค Chagas ในอาร์เจนตินาและละตินอเมริกา

ค.ศ. 1950 เขางงกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ของผู้ป่วยชายคนหนึ่งซึ่งเป็น anterior myocardial infarction with a right bundle branch block โดย ECG ขณะ sinus rhythm แสดงให้เห็นว่าเป็น left axis deviation ที่ -75 องศา แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาพบว่า ECG เป็น right axis deviation ที่ +110 องศา เขาจึงอธิบายง่าย ๆ ว่าเนื่องจากผู้ป่วยมี right bundle branch block ดังนั้น supraventricular impulses จะต้องเดินทางในหัวใจห้องล่างซ้ายได้สองทางซึ่งทางหนึ่งทำให้เกิด left axis deviation และอีกทางทำให้เกิด right axis deviation

ตอนนั้นเขาเข้าใจว่าเกิดจาก nodoventricular Mahaim fiber ที่ Ivan Mahaim (1897-1965) หทัยแพทย์ชาวเบลเยียมบรรยายไว้ในปี ค.ศ. 1932 ซึ่งเป็น fiber จาก AV node ไปยัง bundle branch หรือกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างโดยตรง (ไม่ผ่าน bundle of His) แต่เมื่อเจอผู้ป่วยแบบนี้อีกสามรายคือในปี ค.ศ. 1954, 1955 และ 1963 เขาจึงศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

นำไปสู่การปฏิวัติในปี ค.ศ. 1967 เขาเสนอว่าระบบนำไฟฟ้าในหัวใจห้องล่างไม่ได้มีแค่ 2 คือ right กับ left bundle branch อย่างที่เข้าใจกันแต่มีถึง 3 เส้นทาง (trifascicular nature of intraventricular cardiac conduction) โดยหัวใจห้องล่างขวามี 1 คือ right bundle branch ส่วน left bundle branch ของหัวใจห้องล่างซ้ายแยกย่อยได้ 2 ส่วนคือ anterior และ posterior divisions ต่างก็สามารถถูกยับยั้งได้เรียกว่า hemiblocks ซึ่งได้รับการยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้ (right bundle branch block ร่วมกับ anterior หรือ posterior hemiblock และมีอาการ syncope หรือ sudden cardiac death เรียกว่า Rosenbaum’s syndrome)

ค.ศ. 1954 เขาไปเป็น Research Associate ที่มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์มอนต์ภายใต้ Eugene Lepeschkin กับ Wilhelm Raab และในปี ค.ศ. 1969 ไปเป็น Visiting Professor ด้านหทัยวิทยาที่มหาวิทยาลัยแห่งเคนทักกีตามคำเชิญของ Boris Surawicz

ทศวรรษ 1970 งานวิจัยของ Rosenbaum และ Bramah Singh ทำให้ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ amiodarone เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในเวลาเดียวกันนั้น Rosenbaum ยังเสนอแนวคิดเรื่อง phase 3 และ phase 4 blocks อีกด้วย

เขาเป็นหัวหน้าหน่วยหทัยวิทยาที่โรงพยาบาล Salaberry ช่วงสั้น ๆ ก่อนจะมารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยหทัยวิทยาของโรงพยาบาล Ramos Mejia ในปี ค.ศ. 1973 จนกระทั่งเกษียณในปี ค.ศ. 1986 ตำแหน่งทางวิชาการสุดท้ายคือศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านอายุรศาสตร์ของมหาวิท ยาลัยบัวโนสไอเรส

เขาเสียชีวิตที่กรุงบัวโนสไอเรสในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2003

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(173) Hollenhorst plaque

Robert William Hollenhorst (1913-2008)


เกิดวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1913 ที่ St. Cloud รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา

เขาเรียนที่วิทยาลัย St. Cloud State Teachers, มหาวิทยาลัย St. John และโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตา โดยจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1941

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเขาทำงานในหน่วยแพทย์ทหารบกที่แปซิฟิค เมื่อสิ้นสุดสงคราม ค.ศ. 1946 ก็เริ่มปฏิบัติงานในฐานะจักษุแพทย์ที่ Mayo Clinic และเป็นศาสตราจารย์ด้านจักษุวิทยาที่ Mayo Graduate School of Medicine

ค.ศ. 1961 เขาบรรยายถึงก้อนไขมันคอเลสเตอรอลที่พบในหลอดเลือดแดงของจอประสาทตาซึ่งช่วยในการประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง อาการแสดงนี้เรียกว่า Hollenhorst plaque

เขาเกษียณในปี ค.ศ. 1979 และอาศัยอยู่แถวทะเลสาบ Brainerd

ค.ศ. 1982 เขาดำรงตำแหน่งประธานของสมาคมจักษุแพทย์อเมริกัน (American Ophthalmological Society) และได้รับเหรียญรางวัล Howe ในปี ค.ศ. 1986

เขาเป็นผู้ก่อตั้ง the Minnesota Pre-School Survey of Vision and Hearing และเป็นจักษุแพทย์ที่ปรึกษาของ Minnesota State Services for the Blind กว่า 30 ปี คุณความดีที่ทำต่อรัฐมายาวนานทำให้ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา Arne Carlson ประกาศให้วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1991 เป็น "Dr. Robert Hollenhorst Day."

ค.ศ. 1996 เขาย้ายกลับไปยังโรเชสเตอร์

เขาแต่งงานกับครูชื่อ Alice Cecelia Nolan (23 เม.ย. 1914 – 15 ธ.ค. 2007) ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 9 คน เป็นบุตรชาย 7 คนได้แก่ Robert William Hollenhorst, Jr., Michael J. Hollenhorst, John T. Hollenhorst, Mark Thomas Hollenhorst (1950-1993), James N. Hollenhorst , Thomas M. Hollenhorst และ Stephen Edward Hollenhorst (1956-2000) และบุตรสาว 2 คนคือ Mary E. Hollenhorst กับ Kathleen E. Hollenhorst

เขาเสียชีวิตที่บ้านในโรเชสเตอร์เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2008 (ภรรยาเสียชีวิตในเดือนก่อนหน้านั้น) ศพของเขาและภรรยาได้รับการฝังที่สุสานแห่งชาติ Fort Snelling ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008

บุตรชายคนแรก Robert William Hollenhorst, Jr. เป็นจักษุแพทย์เช่นกันและได้เรียนกับบิดาหลายเดือนตอนเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ Mayo

เอกสารอ้างอิง

http://www.aosonline.org/xactions/2008/08-taos-frontmatter.pdf

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(172) Father of osteosynthesis and Maitre of Belgian surgery

Albin Lambotte (1866-1955)


เกิดวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1866 ใกล้กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาเก้าคนของศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงบรัสเซลส์

พี่ชายของเขา Elie เป็นศัลยแพทย์หนุ่มและมีอิทธิพลต่อ Albin โดยเขาไปเป็น house officer ที่โรงพยาบาล Schaerbeck ชานเมืองบรัสเซลส์ซึ่งพี่ชายทำงานอยู่ น่าเสียดายที่ Elie เสียชีวิตก่อนวัยอันควรสร้างความสูญเสียครั้งใหญ่แก่ Albin

Albin ได้รับตำแหน่งที่โรงพยาบาล Stuyvenberg ใน Antwerp ประเทศเบลเยียมในปี ค.ศ. 1890 เขาจบแพทย์จาก Université libre de Bruxelles (ULB) ในปี ค.ศ. 1891 จากนั้นก็เป็น interne ที่โรงพยาบาล Stuyvenberg ปีนั้นเองเกิดอหิวาตกโรคระบาดเขาได้ทำ enterostomy ตามด้วยการล้างลำไส้ สองปีต่อมาเกิดโรคคอตีบระบาด เขาทำ tracheostomy ไป 72 รายซึ่งช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ถึง 60 ราย

ค.ศ. 1894 เขาประสบความสำเร็จในการทำ gastrectomy ครั้งแรกในชีวิต เป็นการเริ่มต้นเส้นทางสายศัลยศาสตร์อย่างเต็มตัว เขามีชื่อเสียงด้านศัลยศาสตร์ทั่วไปจนได้รับตำแหน่งหัวหน้าศัลยแพทย์ของโรงพยาบาล Stuyvenberg ต่อจาก Leon Desguin ในปี ค.ศ. 1900 อย่างไรก็ตามความสนใจหลักของเขาอยู่ที่การรักษากระดูกหัก

เขาบัญญัติศัพท์คำว่า “Osteosynthesis” และเริ่มทำ osteosynthesis ของกระดูก femur ในปี ค.ศ. 1902 นอกจากนี้ยังประดิษฐ์อุปกรณ์การแพทย์มากมายเช่น Lambotte osteotome, Lambotte’s gold-plated staples รวมถึง Lambotte bone holding forceps

ค.ศ. 1907 เขาตีพิมพ์ตำราเล่มแรกชื่อ “L’intervention operatoire dans les fracture” และเริ่มใช้คำว่า osteosynthesis ในหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรก

ค.ศ. 1913 เขาตีพิมพ์ตำราเล่มที่สองชื่อ “La chirurgie operatoire des fractures” ซึ่งเป็นตำราด้านการผ่าตัดรักษากระดูกหักคลาสสิกแต่ไม่เคยได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ

Albin Lambotte เสียชีวิตในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1955 ที่ Antwerp เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง Osteosynthesis และเป็นต้นแบบของศัลยศาสตร์แห่งเบลเยียม (Father of osteosynthesis and Maitre of Belgian surgery)

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(171) Fredrickson classification of hyperlipidemia

Donald Don” Sharp Fredrickson (1924-2002)

เกิดวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1924 ที่ Canon City รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
บิดาของเขาเป็นทนายความ
เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งโคโลราโดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้หนึ่งปี  กองทัพก็ย้ายเขาไปที่มหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกนจนจบวิทยาศาสตร์บัณฑิตในปี ค.ศ. 1946 และจบแพทย์ในปี ค.. 1949
ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามเกิดเหตุการณ์สำคัญในชีวิต  เขาไป elective ที่ Ann Arbor ได้รู้จักกับวิสัญญีแพทย์ชาวดัตช์คนหนึ่งที่นั่น  ช่วงปิดภาคฤดูร้อนเขาวางแผนจะไปปั่นจักรยานเที่ยวยุโรปกับกลุ่มเพื่อนร่วมห้อง  แต่วิสัญญีแพทย์คนดังกล่าวพยาพยามเสนอให้เขาไปพบกับน้องสาวที่พึ่งเป็นหม้ายที่ประเทศเนเธอร์แลนด์  เขาไปตามที่แนะนำโดยตั้งใจว่าอยู่ไม่กี่วันแล้วค่อยตามไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน  เมื่อได้รู้จัก Henriette Priscilla Dorothea Eekhof บุตรสาวของหญิงหม้ายเขาก็ยกเลิกความคิดดังกล่าว  สองปีต่อมาเขาก็แต่งงานกับเธอและอยู่เคียงข้างกันจนวาระสุดท้ายของชีวิต (ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกันสองคนคือ Eric และ Ruric)
หลังจบแพทย์เขาไปเทรนด้านอายุรศาสตร์ภายใต้ George Widmer Thorn (1906-2004) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อชาวอเมริกันที่โรงพยาบาล Peter Bent Brigham (ปัจจุบันคือ Brigham and Women’s Hospital) ที่บอสตันระหว่างปี ค.ศ. 1949-1952  ก่อนจะไปใช้เวลาหนึ่งปีที่โรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ในห้องปฏิบัติการของ Ivan D. Frantz, Jr. (1916-2009) แพทย์ชาวอเมริกันผู้ศึกษาเรื่องคอเลสเตอรอล
กรกฎาคม ค.ศ. 1953 เขาย้ายไปทำงานที่ National Heart Institute (NHI) ใน Bethesda รัฐแมรีแลนด์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น National Heart, Lung and Blood Institute: NHLBI)  ใช้เวลาหลายปีที่ห้องปฏิบัติการของ Christian Boehmer Anfinsen, Jr. (1916–1995) นักชีวเคมีชาวอเมริกันทำให้ได้ความรู้ความชำนาญด้านชีวเคมีอย่างมากและเริ่มต้นศึกษาเรื่องเมตะบอลิซึมของคอเลสเตอรอลก่อนจะมาเน้นที่เรื่องไลโปโปรตีน (lipoproteins) ในพลาสมา [ต่อมา Anfinsen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี ค.ศ. 1972]
ค.ศ. 1960 เขาร่วมกับแพทย์ชาวอเมริกันอีกสองคนคือ John Bruton Stanbury (เกิด 15 พ.ค. 1915) และ James Barnes Wyngaarden (เกิด 19 ต.ค. 1924) ประพันธ์ตำราคลาสสิกชื่อ “The Metabolic Basis of Inherited Disease”  ทั้งสามร่วมกันเป็นบรรณาธิการอยู่ 23 ปีปรับปรุงจนถึงฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ก่อนจะเปลี่ยนบรรณาธิการใหม่พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อตำราเป็น “The Metabolic and Molecular Bases of Inherited Disease” โดยล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2001 มีทั้งหมด 4 เล่ม  ตำรานี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นไบเบิลของอณูเวชศาสตร์ (bible of molecular medicine) [ต่อมา Stanbury ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลสาขาการแพทย์ประจำปี ค.ศ. 1993]
ต้นทศวรรษ 1960 Fredrickson และเพื่อนร่วมงานค้นพบความผิดปกติของไขมันที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดใหม่ 2 โรค  โรคแรกคือ familial high-density lipoprotein (HDL) deficiency พวกเขาตั้งชื่อว่า Tangier disease (TD) ตามชื่อเกาะในอ่าว Chesapeake ซึ่งผู้ป่วยรายแรกอาศัยอยู่  ส่วนอีกโรคคือ cholesteryl ester storage disease (CESD)
ค.ศ. 1966 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไปของ NHI
ค.ศ. 1967 เขาร่วมกับแพทย์ชาวอเมริกัน Robert I. Levy (1937-2000) และ Robert S. Lees จำแนกความผิดปกติของไขมันออกเป็น 5 ชนิดตามลักษณะทางคลินิกและลำดับใน paper electrophoresis เรียกว่า Fredrickson classification หรือ Fredrickson-Levy-Lees classification ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว
ผลงานดังกล่าวนำไปสู่การก่อตั้ง Lipid Research Clinics Program (LRCP) ในปี ค.ศ. 1970 โดย Levy เป็นหัวหน้า  วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลกับโรคหัวใจ  Lipid Research Clinics Coronary Primary-Prevention Trial (LRC-CPPT) เป็นต้นแบบของความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ศูนย์วิจัยทางวิชาการ และบริษัทยา  เป็นงานวิจัยทางคลินิกแรกที่แสดงให้เห็นว่าการลดคอเลสเตอรอลสามารถลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด  นำไปสู่การก่อตั้ง National Cholesterol Education Program (NCEP) ในเวลาต่อมา
ค.ศ. 1972 เขาร่วมกับ Robert I. Levy และ William T. Friedewald คิดค้นสมการคำนวณ Low density lipoprotein (LDL) ที่ว่า LDL = Total cholesterol – High density lipoprotein – (Triglyceride/5) สมการนี้มีชื่อว่า Friedewald formula หรือ Friedewald-Levy-Fredrickson formula
ค.ศ. 1974 Fredrickson ออกจาก NHLBI ไปรับตำแหน่งประธานสถาบันการแพทย์ (Institute of Medicine) ของ National Academy of Sciences (NAS) ที่วอชิงตันดีซี  เก้าเดือนต่อมาก็ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการ National Institutes of Health (NIH)  เขาลาออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 1981 และไปเป็น Scholar-in-Residence ของ NAS อยู่สองปี
ค.ศ. 1983 เขาได้รับตำแหน่งรองประธาน Howard Hughes Medical Institute (HHMI) ซึ่งมีอดีตอาจารย์ที่ปรึกษา George Thorn เป็นประธานตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ที่สถาบันเริ่มก่อตั้ง  หนึ่งปีต่อมา Thorn ก็เกษียณและ Fredrickson รับตำแหน่งประธานต่อ
ค.ศ. 1987 เขาลาออกจาก HHMI แล้วย้ายไปอยู่ที่ National Library of Medicine (NLM) ในสังกัด NIH  นอกจากนี้ยังทำงานวิจัยและด้านคลินิกที่หน่วยงานเก่าคือ NHLBI  ผู้ป่วยที่คลินิกไขมัน (Lipid clinic) ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกรายหนึ่งคือมกุฎราชกุมารแห่งโมร็อกโกซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็น King Hassan II (1929-1999) ไว้วางพระทัยให้เขาเป็นแพทย์ประจำพระองค์ยาวนานกว่า 25 ปีจนกระทั่งพระองค์สวรรคต (Fredrickson และภรรยาได้รับเกียรติให้ไปร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพที่พระราชวังทุกปี)
  เขาเสียชีวิตที่สระว่ายน้ำส่วนตัวในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2002 โดยศพได้รับการฝังที่เมืองไลเดิน (Leiden) ประเทศเนเธอร์แลนด์  
Fredrickson ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งวิชาไขมันวิทยา (Founding father of lipidology)

เอกสารอ้างอิง
                Gotto AM, Jr. In memoriam Donald Sharp Fredrickson, MD 1924-2002. Circulation 2003;107:1714-6.
Friedewald WT, Levy RI, Fredrickson DS. Estimation of the Concentration of Low-Density Lipoprotein Cholesterol in Plasma, Without Use of the Preparative Centrifuge. Clin Chem 1972;18:499-50.
Fredrickson DS, Levy RI, Lees RS. Fat transport in lipoproteins-an integrated approach to mechanisms and disorders. N Engl J Med 1967;276(1):34-44.
Wong S, Al-Sarraf A, Ignaszewski A. Dr D. S. Fredrickson: Founding father of the field of lipidology. B C Med J 2012;7:336-40.
Wyngaarden JB. Donald Sharp Fredrickson. Proc Am Phil Soc 2004;148(3):383-91.