วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

MMM(210) bloodless fold of Treves

Sir Frederick Treves, 1st Baronet (1853-1923)

เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1853 ใน Dorchester, Dorset ประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายของช่างทำเบาะ William Treves กับ Jane Treves (นามสกุลเดิมคือ Knight)
ตอนอายุ 7 ปีเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซึ่งบริหารโดยกวีชาวอังกฤษ William Barnes (1801-1886) จากนั้นก็เข้าเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียน Merchant Taylors
ค.ศ. 1871 เรียนต่อที่ University College ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์โรงพยาบาลลอนดอนในปีนั้นเอง  หลังเรียนจบเขาทำเวชปฏิบัติทั่วไปไม่นานก็กลับมาเป็น house surgeon ที่โรงพยาบาลลอนดอนในปี ค.ศ. 1876
ค.ศ. 1877 แต่งงานกับ Ann Elizabeth Mason ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสองคน
ค.ศ. 1878 ได้รับ FRCS ปีต่อมาก็ได้รับตำแหน่ง surgical registrar ที่โรงพยาบาลลอนดอน  ต่อมาวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1879 ได้เป็นศัลยแพทย์ผู้ช่วย
ค.ศ. 1881 ได้รับตำแหน่ง Erasmus Wilson Professor ที่วิทยาลัยศัลยแพทย์ เขาบรรยายในหัวข้อ On the Scrofulous Affections of the Lymph Glands
ค.ศ. 1883 ได้รับรางวัล Jacksonian Prize จากวิทยานิพนธ์เรื่อง The pathology, Diagnosis and Treatment of Obstruction of the Intestine in its Various Forms in the Abdominal Cavity
ค.ศ. 1881 – 1884 เป็นผู้สาธิตด้านกายวิภาคศาสตร์  ช่วงนี้เองเขาได้รับการร้องขอให้ประพันธ์ตำรากายวิภาคศาสตร์สำหรับศัลยแพทย์  ใช้เวลาไม่กี่เดือน ค.ศ. 1883 เขาก็ตีพิมพ์ตำรา Surgical Applied Anatomy เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1884 Tom Norman (1860-1930) นักจัดแสดงชาวอังกฤษนำ Joseph Carrey Merrick (1862-1890) ชายชาวอังกฤษผู้มีความผิดปกติของร่างกายจนได้ฉายาว่า “Elephant Man (ครึ่งคนครึ่งช้าง)” มาจัดแสดงที่ร้านอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลลอนดอน  ลูกค้าที่มาชมก็คือบรรดาแพทย์และนักเรียนแพทย์นั่นเอง  หนึ่งในนั้นคือ Treves ซึ่งได้เชิญให้ Merrick ไปตรวจร่างกายและบันทึกภาพไว้ที่โรงพยาบาล  การนำคนมาจัดแสดงถูกประณามตำรวจจึงสั่งปิดร้านหลังแสดงได้เพียงไม่กี่สัปดาห์  ผู้จัดการคนใหม่พา Merrick ไปจัดแสดงที่อื่นในยุโรปจนกระทั่งปี ค.ศ. 1886 เขาถูกผู้จัดการขโมยเงินไปและทิ้งเขาไว้ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม  เขาสื่อสารไม่ได้แต่สามารถหาทางกลับมายังกรุงลอนดอนได้  ตำรวจค้นตัวเจอป้ายชื่อ Frederick Treves จึงติดต่อหา Treves ซึ่งก็มารับตัว Merrick ไปพักที่โรงพยาบาลลอนดอนและให้อยู่จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1890 (ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเขาป่วยเป็น neurofibromatosis type I หรือ Proteus syndrome กันแน่)
ค.ศ. 1884 – 1893 Treves เป็นผู้บรรยายด้านกายวิภาคศาสตร์  เขาไม่ได้เก่งเฉพาะกายวิภาคศาสตร์ช่องท้องของมนุษย์เท่านั้นแต่ยังศึกษาของสัตว์อื่น ๆ เพื่อเปรียบเทียบด้วยโดยศึกษาจากสัตว์ที่ตายในสวนสัตว์ลอนดอน
ค.ศ. 1887 เขาบรรยายว่าด้านหน้าของ mesoappendix จะมี fold ที่ฐานของไส้ติ่งไปเกาะด้านหน้าของส่วน antimesenteric ของ terminal ileum มักจะไม่มีเลือดมาเลี้ยง  สิ่งนี้รู้จักกันในชื่อ bloodless fold of Treves
29 มิถุนายน ค.ศ. 1888 เขาทำการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก (appendectomy) เป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ 
ค.ศ. 1893 – 1894 เป็นอาจารย์สอนศัลยศาสตร์การผ่าตัด
ค.ศ. 1893 – 1897 เป็นผู้บรรยายด้านศัลยศาสตร์
ค.ศ. 1898 เขาสร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลลอนดอนด้วยวัยเพียง 45 ปี
7 ธันวาคม ค.ศ. 1898 ได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ที่ปรึกษา
ตุลาคม ค.ศ. 1899 เขาอาสาไปเป็นศัลยแพทย์ในสงคราม Boer War ครั้งที่สองโดยไปทำงานที่โรงพยาบาลสนามอยู่หลายเดือนก่อนจะกลับมายังกรุงลอนดอนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1900
ค.ศ. 1900 Hetty บุตรสาวคนเล็กของเขาป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบแต่ศัลยแพทย์อีกสองคนคัดค้านการผ่าตัด  ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจผ่าตัดแต่สายเกินไปจึงสูญเสียบุตรสาวคนเล็กจากไส้ติ่งอักเสบทะลุ
22 มกราคม ค.ศ. 1901 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (1819–1901) พระมหากษัตริย์อังกฤษที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ (62 ปี) สิ้นพระชนม์  พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด (1841-1910) ทรงขึ้นครองราชย์ต่อ  Treves ได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์หลวงประจำพระองค์ในเดือนมีนาคมและได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir ในเดือนพฤษภาคมปีนั้นเอง
หนึ่งปีต่อมาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ดมีกำหนดการเข้าพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1902 ที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey)  แต่แล้วสองสัปดาห์ก่อนถึงวันพิธีพระองค์เริ่มมีอาการปวดท้องน้อยด้านขวา  Treves ถวายการตรวจรักษาในวันที่ 18 มิถุนายนและมาดูอาการทุกวัน สรุปว่าประชวรเป็นไส้ติ่งอักเสบจึงถวายคำแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัด  เนื่องจากสมัยนั้นการผ่าตัดช่องท้องยังมีอัตราการตายที่สูงอยู่พระองค์จึงปฏิเสธ  วันที่ 24 มิถุนายนพระองค์ประชวรหนักขึ้นแต่ยังยืนกรานไม่ผ่าตัดว่า “I must go to the Abbey”  สุดท้ายทนไม่ไหว Treves จึงยืนยันให้ผ่าตัดไม่เช่นนั้นพระองค์จะได้เข้าพิธีฝังศพแทนเป็นแน่แท้ว่า “Then, Sire, you will go as a corpse.”  พระองค์จึงยอมเข้ารับการผ่าตัด  หลังการผ่าระบายฝีที่ไส้ติ่ง Treves ดูแลพระองค์แบบไม่หลับไม่นอน 7 วัน 7 คืนจนปลอดภัยดี  พิธีบรมราชาภิเษกเลื่อนไปจัดในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1902 แทน  ผลงานนี้ทำให้ Treves ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นบารอนเน็ตในปีนั้นเอง
ค.ศ. 1905 – 1908 เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแอเบอร์ดีน
ค.ศ. 1905 – 1912 เป็นประธานกรรมการสภากาชาดอังกฤษ
ค.ศ. 1913 แพทย์ชาวแคนาดา Sir William Osler (1849-1919) ก่อตั้งและเป็นประธานคนแรกของหน่วยประวัติศาสตร์การแพทย์ใน Royal Society of Medicine โดย Treves ได้รับตำแหน่งรองประธาน
ค.ศ. 1920 เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเสียชีวิตที่นั่นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1923 จากถุงน้ำดีและเยื่อบุช่องท้องอักเสบ  พิธีศพจัดขึ้นที่วิหารเซนต์ปีเตอร์ใน Dorchester วันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1924 โดยพระเจ้าจอร์จที่ห้า (1865-1936) ทรงมอบหมายให้แพทย์หลวง Lord Edward Dawson (1864-1945) เป็นตัวแทนพระองค์มาร่วมในพิธี  ศพของ Treves ถูกฝังอยู่ที่สุสาน Dorchester นั่นเอง
หลังจากเขาเสียชีวิตศัลยแพทย์ชาวออสเตรเลีย Lambert Charles Rogers (1897-1961) รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการตำรา Treves’ Surgical Applied Anatomy ต่อจนกระทั่งฉบับสุดท้ายคือฉบับพิมพ์ครั้งที่ 14 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1962 นับเป็นเวลากว่า 80 ปีที่ตำรานี้ได้รับความนิยม  
แต่หนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาเห็นจะเป็น “The Elephant Man and Other Reminiscence” ได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งต่อมาถูกนำไปสร้างเป็นทั้งละครและภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง

เอกสารอ้างอิง
                Gibbs DD. Sir Frederick Treves: surgeon, author and medical historian. J R Soc Med 1992;85:565-9.
                Miliras P, Skandalkis JE. Not Just an Appendix: Sir Frederick Treves. Arch Dis Child 2003;88:549-53.

                Ravin JG. Sir Frederick Treves and Sympathetic Ophthalmia. Arch Ophthalmo 2004;122:99-103.

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

MMM(209) Master teacher of pathology

Stanley Leonard Robbins (1915-2003)

 

เกิดวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา

จบจากโรงเรียนมัธยมบรุกลิน รัฐแมสซาชูเซตส์โดยเป็นที่หนึ่งของชั้น เขาเรียนต่อที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์และโรงเรียนแพทย์ทัฟส์  หลังจบการเทรนที่โรงพยาบาลเมืองบอสตันก็ไปสอนที่โรงเรียนแพทย์ทัฟส์ ฮาร์วาร์ด รวมถึงมหาวิทยาลัยบอสตัน

ค.ศ. 1957 เขาตีพิมพ์ตำรา “Robbins Textbook of Pathology” เป็นครั้งแรก  ตำราเล่มใหญ่นี้มีชื่อเล่นว่า “Big Robbins”  จากแนวคิดของเขาที่ว่า “Lesions do not arise in cadavers!” ในตำราจึงไม่ได้มีเฉพาะการบรรยายลักษณะทางพยาธิวิทยาเท่านั้นแต่ยังเน้นการเชื่อมโยงทางคลินิกด้วย  ถือเป็นจุดเปลี่ยนของการสอนวิชาพยาธิวิทยาเลยทีเดียว  ฉบับพิมพ์ครั้งที่สามตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1969

ค.ศ. 1971 เขาร่วมกับพยาธิแพทย์ชาวอเมริกัน Marcia Angell (เกิด 20 เม.ย. 1939) ตีพิมพ์ตำราเล่มเล็กชื่อ “Robbins Basic Pathology” หรือที่เรียกกันว่า “Baby Robbins” เป็นครั้งแรกซึ่งเน้นเฉพาะแก่นของวิชาพยาธิวิทยา โดยฉบับพิมพ์ครั้งที่สามในปี ค.ศ. 1981 มีบรรณาธิการร่วมเพิ่มอีกคนคือ Vinay Kumar (เกิด ธ.ค. 1944) พยาธิแพทย์ชาวอินเดีย (ล่าสุดเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่เก้าตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2013) 

ค.ศ. 1974 เขาปรับปรุงตำรา “Robbins Textbook of Pathology” ครั้งใหญ่โดยเน้นเรื่องกลไกการเกิดโรคจึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Robbins Pathologic Basis of Disease” และยังสร้างความประหลาดใจด้วยการเริ่มเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่งใหม่  ตำรานี้มีการปรับปรุงทุกห้าปีโดยฉบับพิมพ์ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1979 มีบรรณาธิการร่วมอีกคนคือพยาธิแพทย์ชาวปาเลสไตน์ Ramzi Suliman Cotran (7 ธ.ค. 1932 – 23 ต.ค. 2000) และฉบับพิมพ์ครั้งที่สามในปี ค.ศ. 1984 Vinay Kumar ก็มาเป็นบรรณาธิการร่วมเพิ่มอีกคน  

เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา Mallory ของมหาวิทยาลัยบอสตันและหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยาของโรงเรียนแพทย์บอสตันในปี ค.ศ. 1965 โดยครองตำแหน่งนี้จนถึงปี ค.ศ. 1980  หลังเกษียณเขาไปรับตำแหน่งพยาธิแพทย์อาวุโสที่ Brigham and Women’s Hospital ในบอสตัน  เขายังคงสอนนักเรียนแพทย์และแพทย์ประจำบ้านด้านพยาธิวิทยาต่ออีกหลายปี

ค.ศ. 1980 โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยบอสตันเริ่มมอบรางวัลให้กับอาจารย์แพทย์ผู้มีผลงานโดดเด่นเป็นปีแรกโดยผู้ที่ได้รับคือ Robbins นั่นเอง (ปัจจุบันรางวัลนี้มีชื่อว่า Stanley L. Robbins Award for Excellence in Teaching เพื่อเป็นเกียรติแก่ Robbins)

ค.ศ. 1991 เขาได้รับรางวัล Distinguished Pathologist Award จาก United States and Canadian Academy of Pathology 

ค.ศ. 1992 เขาได้รับรางวัล Gold Headed Cane Award จาก American Society of Investigative Pathology (ASIP)

Robbins ได้รับการยกย่องว่าเป็นMaster teacher of pathology”  เขาทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการตำรา “Robbins Pathologic Basis of Disease” ถึงฉบับพิมพ์ครั้งที่ห้าในปี ค.ศ. 1994  หลังเขาเสียชีวิตในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ตำรานี้ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “Robbins and Cotran Pathologic Basis of Disease” เริ่มในฉบับพิมพ์ครั้งที่เจ็ดเมื่อปี ค.ศ. 2004 และล่าสุดเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่แปดตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2009 (ฉบับพิมพ์ครั้งที่เก้ามีกำหนดตีพิมพ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014)

ค.ศ. 2009 ASIP เริ่มมอบรางวัลให้แก่อาจารย์ด้านพยาธิวิทยาที่โดดเด่นเป็นปีแรก  เพื่อเป็นเกียรติแก่ Robbins จึงตั้งชื่อรางวัลนี้ว่า ASIP Robbins Distinguished Educator Award โดยคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้คือ Vinay Kumar นั่นเอง

เอกสารอ้างอิง

                Crawford JM. Obituary Dr Stanley Robbins. Lab Invest 2004;84:393.


                Kumar V. Stanley L. Robbins, 1915-2003. Am J Pathol 2004;164(4):1129-30.