วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

MMM(183) Ebstein's anomaly

Wilhelm Ebstein (1836-1912)

เกิดวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1836 ที่ Jauer (ปัจจุบันคือ Jawor) ใน Schlesien ปรัสเซีย (ปัจจุบันคือ Silesia ประเทศโปแลนด์)

เป็นบุตรชายของพ่อค้า Louis Ebstein กับ Amalie Ebstein

ค.ศ. 1855 เขาเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Breslau (ปัจจุบันคือ Wroclaw ประเทศโปแลนด์) แต่ในปีนั้นเองก็ย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ที่นั่นเขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก Rudolph Carl Virchow (1821–1902) พยาธิแพทย์ชาวเยอรมันทำให้มีความรู้ด้านพยาธิวิทยาเป็นอย่างดี

เขาจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1859 ต่อมาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยแพทย์ที่โรงพยาบาล Allerheiligen (All Saints’) ที่ Breslau ในปี ค.ศ. 1861

วันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1864 Kornfeld รับกรรมกรวัย 19 ปี Joseph Prescher ไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล Allerheiligen ด้วยโรคหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด แปดวันต่อมาวันที่ 6 กรกฎาคม ผู้ป่วยเสียชีวิต Ebstein ทำการ autopsy และบรรยายความผิดปกติของหัวใจที่พบซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Ebstein's anomaly

ค.ศ. 1869 เขาได้รับตำแหน่ง Privatdozent แต่งานต้องหยุดชะงักเนื่องจากต้องเข้าร่วมสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หลังกลับจากสงคราม ค.ศ. 1870 ก็ได้รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่การแพทย์ที่โรงทานของรัฐเมือง Breslau

ค.ศ. 1874 เขาไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์ที่โรงพยาบาล Ernst August มหาวิทยาลัยแห่ง Göttingen โดยครองตำแหน่งนี้ถึงปี ค.ศ. 1903

ค.ศ. 1880 เขาบรรยายความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุของ renal tubules ซึ่งบางครั้งพบในผู้ป่วยเบาหวาน โรคนี้มีชื่อว่า Ebstein's disease นอกจากนี้ยังบรรยายความผิดปกติของ proximal convoluted tubules ในผู้ป่วยเบาหวานร่วมกับ พยาธิแพทย์ชาวอิตาลี Luciano Armanni (1839-1903) จึงมีชื่อว่า Armanni-Ebstein nephropathy

ค.ศ. 1885 แพทย์ชาวดัตช์ Pieter Klaases Pel (1852-1919) บรรยายลักษณะไข้เรื้อรังในผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ตอนนั้นเรียกกันว่า Pseudo-leukemia) ในวารสารภาษาเยอรมัน Berliner Klinische Wochenschrift ในบทความ “Zur Symptomatologie der sog. Pseudoleukaemie (To symptomatology of the so-called pseudoleukemia)” โดยเป็นผู้ป่วยสองรายที่มีไข้ 12-14 วันสลับกับช่วงที่ไม่มีไข้ 10 วัน ตุลาคมปีนั้นเองเขาก็บรรยายผู้ป่วยรายที่สามในวารสารการแพทย์เนเธอร์แลนด์ Nederlands Tijdschrift voor Geneeskunde สองปีต่อมาสิงหาคม ค.ศ. 1887 Ebstein ก็บรรยายลักษณะไข้ดังกล่าวในผู้ป่วย 1 รายลงวารสาร Berliner Klinische Wochenschrift บทความชื่อ “Das chronische Rückfallfieber, eine neue Infektionskrankheit (The chronic recurrent fever, a new infection disease)” โดยมีความเห็นต่างจาก Pel ว่าไม่ใช่อาการของ pseudo-leukemia แต่น่าจะเป็นโรคติดเชื้อชนิดใหม่ (ซึ่งผิด) อย่างไรก็ตามอาการแสดงนี้รู้จักกันในชื่อ Pel-Ebstein fever [ก่อนหน้านั้น ค.ศ. 1870 แพทย์ชาวอังกฤษ Charles Murchison (21 พ.ค. 1830 - 23 เม.ย. 1879) ก็เคยรายงานผู้ป่วยไว้ใน Transactions of the pathological society of London vol XXI.page 372 เป็นเด็กหญิงวัย 6 ขวบที่มีต่อมน้ำเหลืองโตและมีไข้สลับกับช่วงไม่มีไข้ บางคนจึงเรียกว่า Murchison-Pel-Ebstein Fever แต่เนื่องจาก Murchison ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องไข้ใน discussion เลย ส่วนใหญ่จึงนิยมเรียกว่า Pel-Ebstein fever มากกว่า]

นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าโรคอ้วน เก๊าต์ และเบาหวาน เป็นความผิดปกติของเมตะบอลิซึมของเซลล์และถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ผลงานด้านนี้มักถูกมองข้ามทั้ง ๆ ที่สำคัญจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งพันธุศาสตร์ชีวเคมีที่ถูกลืม (forgotten founder of biochemical genetics)”

เขาเกษียณในปี ค.ศ. 1906 และเสียชีวิตจากโรคลมชักเมื่อ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1912 ที่ Göttingen

บุตรชายของเขา Erich Ebstein เป็นนักประวัติศาสตร์การแพทย์

เอกสารอ้างอิง

http://ejcts.ctsnetjournals.org/cgi/content/full/20/5/1082

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

MMM(182) Turco procedure

Vincent J. Turco, Sr. (1916-1999)

เกิดวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ที่ Newark รัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นบุตรชายของผู้อพยพชาวอิตาลี

จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่ง Rhode Island และจบแพทย์จากมหาวิทยาลัย Tufts ในปี ค.. 1941

หลังจบแพทย์ไปเป็น internship ที่โรงพยาบาล St. Francis, Hartford อยู่หนึ่งปีก่อนจะไปเทรนด้านออร์โธปิดิคส์ที่โรงพยาบาลเมืองบอสตันและ Hospital for Special Surgery ในนิวยอร์ก เขาชื่นชอบในดนตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งโอเปร่าอิตาลีและเข้าชมการแสดงโอเปร่าบ่อยครั้งขณะเทรนอยู่ที่นิวยอร์ก

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเขาเข้าร่วมในกองแพทย์ทหารบกโดยเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ที่โรงพยาบาลทั่วไป Tilton ในเมือง Fort Dix นิวเจอร์ซีย์

เขาเป็นผู้อำนวยการการฝึกสอนแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิคส์ที่โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ St. Francis ใน Hartford เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ภาควิชาออร์โธปิดิคส์ของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแห่งคอนเนตทิคัตใน Farmington, เป็น visiting professor ที่โรงพยาบาลเด็กของโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังสอนที่โรงเรียนแพทย์ Emory และ Hospital of Joint Diseases อีกด้วย

ค.ศ. 1963 เขาคิดค้นหัตถการรักษาโรคเท้าปุก (club foot) แบบใหม่ที่เรียกว่า Turco procedure ต่อมา ค.ศ. 1981 เขาตีพิมพ์ตำรา “Clubfoot” ซึ่งยังคงเป็นตำราด้านโรคเท้าปุกที่สำคัญ Turco จึงได้รับฉายาว่า ''the club foot doctor.''

เขาแต่งงานกับ Gloria (Marcello) Turco (7 มี.ค. 1924 – 20 มี.ค. 2006) มีบุตรชายด้วยกันสองคนคือ Vincent J. Turco, Jr. กับ Paul A. Turco และมีบุตรสาวหนึ่งคนคือ Claudia T. (Turco) Storm

Turco เสียชีวิตเมื่อ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 ที่โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ St. Francis

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

MMM(181) Dock's murmur

William “Bill” Dock (1898-1990)

เกิดวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1898 ที่แอนอาร์เบอร์ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรชายของ George Dock อายุรแพทย์ผู้มีชื่อเสียง

ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาทำหน้าที่เป็นคนขับรถฉุกเฉินที่ประเทศฝรั่งเศส

เขาเรียนแพทย์สองปีแรกที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ซึ่งบิดาของเขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาแพทยศาสตร์อยู่ จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยแพทย์รัชในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์และจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1923

เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาล Peter Bent Brigham (ปัจจุบันคือโรงพยาบาล Brigham and Women) ในบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ก่อนที่บิดาจะส่งเขาไปเรียนกับ Karel Frederik Wenckebach (1864-1940) หทัยแพทย์ชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

เขาเริ่มทำงานทางวิชาการที่โรงเรียนแพทย์สแตนฟอร์ดและได้รับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยาโดยบังเอิญในปี ค.ศ. 1936 ปีนี้เองเขาสังเกตว่าผู้ป่วยที่นอนกับเตียงนานจะเกิดภาวะแทรกซ้อนด้านลิ่มเลือดจึงแนะนำให้ early ambulation ต่อมาเขาย้ายไปอยู่ที่วิทยาลัยแพทย์คอร์เนลในนิวยอร์ก และไปเกี่ยวเก็บประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยเพิ่มเติมที่ศูนย์การแพทย์ลอสแอนเจลิสเคาน์ตีเป็นเวลาหกเดือน

จากคำแนะนำของ Alan Gregg (1890-1957) ประธานมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์เขาจึงกลับไปยังนิวยอร์กโดยรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์ของวิทยาลัยแพทย์ลองไอแลนด์ในบรุกลิน แต่ไม่นานเขาก็ลาออกจากตำแหน่งแล้วไปทำเวชปฏิบัติส่วนตัวที่ Palo Alto Clinic ที่สแตนฟอร์ด

ค.ศ. 1967 เขาร่วมกับหทัยแพทย์ชาวอเมริกัน Samuel Zoneraich (4 พ.ย. 1921 13 พ.ค. 2000) บรรยาย diastolic murmur ที่พบในผู้ป่วย left anterior descending stenosis อาการแสดงนี้เรียกว่า Dock’s murmur [Dock W, Zoneraich S. A diastolic murmur arising in a stenosed coronary artery. American Journal of Medicine 1967;42(4):617-9.]

Dock เป็นผู้นำ “กฎของ Sutton (Sutton’s law)” มาใช้ในทางการแพทย์ กฎนี้มาจากตอนที่นักข่าว Mitch Ohnstad ถาม William “Willie” Sutton (1901-1980) โจรปล้นธนาคารชาวอเมริกันว่า “ทำไมคุณถึงปล้นธนาคาร? (Why you robbed banks?)” คำตอบที่ได้รับคือ “เพราะว่าเป็นที่ที่มีเงินน่ะสิ (Because that’s where the money is.)” โดย Dock นำมาประยุกต์สอนนักศึกษาว่า “go to the patient, because that’s where the diagnosis is.”

ท้ายที่สุดเขากลับมาทำงานที่บรุกลินในหลายสถาบันโดยเกษียณในปี ค.ศ. 1979 ที่ศูนย์การแพทย์ลูเธอรัน จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เขามีบุตรชายชื่อ Christopher และ George

Dock เสียชีวิตเมื่อ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1990 ที่เกาะแห่ง Guadeloupe ประเทศฝรั่งเศส และได้รับการยกย่องว่าเป็นยักษ์แห่งหทัยวิทยาของอเมริกา (giant of American cardiology)

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

MMM(180) Father of modern teaching anatomy in Thailand

เอ็ดการ์ เดวิดสัน คองดอน (Edgar Davidson Congdon, ค.ศ. 1879-1965)
เกิดวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1879 ที่ Newark รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นบุตรชายของ Lafayette Congdon (1845-1927) กับ Frances Anna Kingsley (1849-1931)
ค.ศ. 1909 จบปริญญาเอกด้านสัตววิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
แต่งงานกับ Edith Dana Jones (1879-1930) ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1911 มีบุตรสาวด้วยกันคือ Edgar Dana Congdon (1916–1997)
ค.ศ. 1923 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเริ่มหลักสูตแพทย์ระดับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตโดยความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ปีต่อมาทางมูลนิธิมอบหมายให้ Claude Witherington Stump (18911971) นักกายวิภาคศาสตร์ชาวออสเตรเลียมาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์คนแรกของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ท่านได้เริ่มจัดการเรียน 3 สาขาวิชาคือ มหกายวิภาคศาสตร์ จุลกายวิภาคศาสตร์ และคัพภะวิทยา
คองดอนเป็นรองศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์อยู่ที่วิทยาลัยแพทย์นครปักกิ่ง (Peking Union Medical College) ได้รับเชิญมาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์คนที่สองของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลในปี ค.ศ. 1926 ท่านจัดการศึกษากายวิภาคศาสตร์เพิ่มอีก 2 สาขา คือ ประสาทกายวิภาคศาสตร์ และ Topographic and Applied Anatomy รวมเป็น 5 สาขา
ศาสตราจารย์พิเศษนายแพทย์สรรใจ แสงวิเชียร (เกิด 1 ก.ค. 1939) อดีตหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์เล่าให้ฟังว่าศาสตราจารย์คองดอนพูดภาษาไทยไม่ได้จึงต้องสอนเป็นภาษาอังกฤษ นักเรียนก็ฟังไม่ค่อยออก ท่านจึงใช้ 3 วิธีเข้าช่วยคือ วิธีแรกเอากระจกสไลด์มาฉาย วิธีที่สองก็รูปวาด และวิธิที่สามก็คือชำแหละให้นักเรียนดู ส่วนที่เหลือจากการชำแหละก็เก็บมาเริ่มต้นจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1927
ต่อมาในปี ค.ศ. 1930 ได้มีการประชุมเวชศาสตร์เขตร้อนครั้งที่แปดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์คองดอนร่วมด้วยอาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์และนักเรียนแพทย์ในรุ่นนั้นได้ช่วยกันชำแหละชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเริ่มมีการระบายสีหลอดเลือดและเส้นประสาท ให้เห็นเด่นชัดขึ้น ด้วยการใช้สีผสมไข่ขาว (Albuminous Paint) ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่นำออกแสดงในงานประชุมก็ได้นำมาร่วมจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ยุคแรกด้วย
ค.ศ. 1931 ศาสตราจารย์คองดอนเดินทางกลับสหรัฐฯ หลวงกายวิภาคบรรยาย (แถม ประภาสะวัต) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเป็นคนที่สามระหว่างปี ค.ศ. 1931-1938 จากนั้นก็เป็นศาสตราจารย์พระอัพภันตราพาธพิศาล (กำจร พลางกูร) ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1938-1942
ค.ศ. 1942 บิดาของอาจารย์สรรใจคือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร (1907-1995) รับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์คนที่ห้า หลังจากศาสตราจารย์คองดอนเดินทางกลับสหรัฐฯไปแล้วทางภาควิชากายวิภาคศาสตร์ค่อย ๆ สะสมชิ้นส่วนแสดงเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งขยายส่วนจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์มาตรฐานได้ในยุคนี้เอง นอกจากนี้อาจารย์สุดยังเริ่มใช้วิธีระบายสีโดยใช้ Brush Lacquer ซึ่งสามารถเก็บตัวอย่างไว้ได้ในฟอร์มาลิน (สะดวกขึ้นเพราะไม่ระเหยง่ายแบบแอลกอฮอล์) จัดทำโหลแสดงตัวอย่างที่ทำจากพลาสติก ซึ่งสามารถออกแบบสร้างให้เหมาะสมกับขนาดของตัวอย่างที่จะแสดง แม้กระทั่งโหลใส่ร่างกายของมนุษย์ทั้งร่างก็สามารถทำจากพลาสติกได้โดยเจ้าหน้าที่ช่างไม้ในภาควิชานั่นเอง
วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1948 คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลทำพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์แห่งนี้อย่างเป็นทางการ และเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ศาสตราจารย์คองดอนจึงตั้งชื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ว่า พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์คองดอน (Congdon Anatomical Museum)
พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์คองดอน แบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องที่หนึ่งเป็นห้องกายวิภาคศาสตร์ทั่วไป และห้องที่สองเป็นห้องแสดงกระดูก สิ่งแสดงสำคัญของห้องแรกคือ ระบบประสาททั่วร่างกาย และระบบหลอดเลือดแดงทั่วร่างกายซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสิ่งแสดงที่มีเพียงอย่างละชิ้นเดียวในโลก เป็นผลงานของรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงเพทาย ศิริการุณ ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการชำแหละมาก และดูแลพิพิธภัณฑ์นี้อยู่เป็นระยะเวลาประมาณ 25 ปี อาจารย์สรรใจกล่าวถึงสิ่งแสดงเอกสองชิ้นนี้ว่าผู้ที่ทำได้ต้องรู้กายวิภาคศาสตร์อย่างดี มีความเป็นศิลปิน และมีความอุตสาหะมากซึ่งอาจารย์เพทายทำวันละครึ่งคืนนาน 3 เดือนกว่าจะเสร็จ
สิ่งแสดงสำคัญของห้องกระดูกคือ โครงกระดูกของอดีตอาจารย์ศิริราช บุคคลในวงการแพทย์และการศึกษา ตัวอย่างเช่น พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ) ซึ่งเป็นคนแรกที่บริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาลศิริราช ขุนกายวิภาคพิศาล (เสงี่ยม หุตะสังกาศ) ศ.นพ.สรรค์ ศรีเพ็ญ ศ.นพ. สุด แสงวิเชียร และรศ.พญ.เพทาย ศิริการุณ เป็นต้น
ศาสตราจารย์คองดอนเสียชีวิตวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1965 ที่ Babylon รัฐนิวยอร์ก ท่านวางรากฐานการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของประเทศไทยจนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการสอนภายวิภาคศาสตร์ยุคใหม่ของไทย (Father of modern teaching anatomy in Thailand)
วันเกิดวันตายของคองดอนอ้างอิงจาก http://congdonfamilies.blogspot.com/2009_01_01_archive.html
ประวัติศาสตร์พิพิธภัณฑ์อ้างอิงจาก นิตยสาร UPDATE ปีที่ 12 ฉบับที่ 137 มกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

MMM(179) Grant's Atlas of Anatomy

John Charles Boileau Grant (1886-1973)

เกิดวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1886 ที่ Loanhead ประเทศสกอตแลนด์

ค.ศ. 1903 เข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยเอดินบะระ โดยมีเพื่อนร่วมรุ่นคือ William Boyd (1885-1979) ซึ่งต่อมาเป็นพยาธิแพทย์ผู้มีชื่อเสียง

สมัยนั้นตำรากายวิภาคศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมีสามเล่มคือ “Gray’s Anatomy” ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1858 โดย Henry Gray (1827-1861) ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ เล่มที่สองคือ “Morris’s Human Anatomy” ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1893 โดย Sir Henry Morris, 1st Baronet (1844–1926) ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และอีกเล่มคือ “Cunningham’s Textbook of Anatomy” ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1902 โดย Daniel John Cunningham (1850–1909) แพทย์ชาวสกอต

Grant ได้เรียนวิชากายวิภาคศาสตร์กับ Cunningham เมื่อจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1908 จึงมาเป็นผู้สาธิต (demonstrator) ด้านกายวิภาคศาสตร์ภายใต้ Cunningham ระหว่างปี ค.ศ. 1909-1911 ก่อนจะไปรับตำแหน่งเดียวกันที่ประเทศอังกฤษภายใต้ Robert Howden (1856-1940) ศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่ง Durham ผู้เป็นบรรณาธิการตำรา “Gray’s Anatomy” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 17 ในปี ค.ศ. 1909

ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ค.ศ. 1914 Grant อาสาสมัครเข้าร่วมในกองแพทย์ทหารบกหลวง เมื่อสิ้นสุดการระดมพลในปี ค.ศ. 1919 เขาไปรับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งแมนิโทบา ใน Winnipeg ประเทศแคนาดา ตามคำเชิญของ Alexander Gibson (1883-1956) ศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในขณะนั้น ที่ Winnipeg เขาได้พบกับ Catriona Christie และแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1922 (เพื่อนร่วมชั้นเรียน Boyd แต่งงานกับ Enid Christie ซึ่งทั้งสองสาวเป็นพี่น้องกัน)

Grant ดำรงตำแหน่งที่แมนิโทบาถึงปี ค.ศ. 1930 จากนั้นไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์และหัวหน้ากายวิภาคศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งโทรอนโต ประเทศแคนาดาต่อจาก James Playfair McMurrich (1859–1939) นักสัตววิทยาชาวแคนาดาผู้เป็นบรรณาธิการร่วมของตำรา “Morris’s Human Anatomy” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 1907

จากประสบการณ์ที่ได้อยู่ท่ามกลางบรรณาธิการตำรากายวิภาคศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทำให้ Grant ใฝ่ฝันที่จะประพันธ์ตำราของตัวเองจนผลิตออกมาถึงสามเล่ม (Grant trilogy) ด้วยกันคือ

ค.ศ. 1937 เขาตีพิมพ์ตำรา “Method of Anatomy, Descriptive and Deductive” เป็นครั้งแรก ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “Grant’s Method of Anatomy” โดยฉบับพิมพ์ครั้งที่ 11 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1989

ค.ศ. 1940 เขาร่วมกับ Cates ตีพิมพ์ตำรา “Handbook for Dissectors” เป็นครั้งแรก ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “Grant’s Dissector” โดยล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 14 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2008

ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเขาสมัครเข้าร่วมสงคราม (อีกแล้ว) แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากอายุอานามปาเข้าไปมากกว่า 50 ปีแล้ว เขาจึงหันมาทำตำราเล่มที่สามซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ “Atlas of Anatomy” ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1943 ปัจจุบันใช้ชื่อว่า “Grant’s Atlas of Anatomy” โดยล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 12 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2008 พร้อม ‘Grant’s Dissector” (ในปีเดียวกันนี้เอง “Gray’s Anatomy” ก็ฉลองครบรอบ 150 ปีด้วยการตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 40)

ภาพในตำราดังกล่าววาดจาก specimen ที่ทำขึ้นโดย Grant และลูกศิษย์ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑ์ J. C. B. Grant ที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งโทรอนโต เขามองว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ควรเป็นเพียงสถานที่จัดแสดง specimen แต่ควรเป็นสถานที่เพื่อการเรียนรู้ด้วย specimen จึงจัดวางให้สามารถหมุนดูได้รอบทิศทางและมีเก้าอี้กับโต๊ะให้นั่งอ่านตำราพร้อมจดบันทึกได้ ดังที่ Grant กล่าวไว้ว่า “Thus, the student, seated and with text-book or notes beside him, could study in comfort”

Grant เสนอให้ผู้สาธิตด้านกายวิภาคศาสตร์สวมเสื้อห้องปฏิบัติการสีขาวที่มีปกสีน้ำเงินเพื่อให้มองเห็นได้ง่ายจนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยแห่งโทรอนโตจนเกษียณในตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณเมื่อปี ค.ศ. 1956 หลังเกษียณก็รับตำแหน่งผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ของมหาวิทยาลัย

ค.ศ. 1961 แม้จะอายุ 75 ปีแล้วเขาก็ยังตอบรับคำเชิญไปเป็น Visiting professor ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ลอสแอนเจลิส (UCLA) โดยสอนกายวิภาคศาสตร์ 6 เดือนต่อปีจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1970

Grant เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1973 ที่โทรอนโต ส่วนภรรยาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1982 และยกมรดกตำรากายวิภาคศาสตร์ของ Grant ให้กับโรงพยาบาล Princess Margaret ที่โทรอนโต

ค.ศ. 1998 สำนักพิมพ์ Williams and Wilkins ที่ตีพิมพ์ตำรา “Grant’s Atlas of Anatomy” บริจาคเพลตต้นฉบับภาพวาดที่ใช้ในการตีพิมพ์แก่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งโทรอนโต ปัจจุบันเพลตถูกเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุของหน่วย Biomedical Communications

Grant ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์สอนกายวิภาคศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในศตวรรษที่ 20 (most outstanding teachers of anatomy in the 20th century)

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(special) Paneth cell

Joseph Paneth (1857-1890)

เกิดวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1857 ที่ประเทศออสเตรีย

เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเบรสเลาและมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนา

ค.ศ. 1872 Gustav Albert Schwalbe (1844-1916) แพทย์ชาวเยอรมันบรรยายเซลล์ที่มีเม็ดแกรนูลในลำไส้เล็กที่ก้นของ Crypts of Lieberkuehn 16 ปีต่อมา ค.ศ. 1888 Paneth ศึกษาลักษณะของเซลล์เหล่านี้อย่างละเอียดจึงได้รับการตั้งชื่อว่า Paneth cells

เขาแต่งงานกับ Sophie Schwab และมีบุตรชายด้วยกัน 3 คน คนกลางคือ Friedrich Adolf Paneth (1887-1958) ต่อมากลายเป็นนักเคมีที่มีชื่อเสียง

เขาเสียชีวิตจากวัณโรคเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1890 ด้วยวัยเพียง 32 ปี

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(178) Crypts of Lieberkuehn

Johann Nathanael Lieberkuehn (1711-1756)

เกิดวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1711 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

เป็นบุตรชายของช่างทอง Johannes Christianus Lieberkuehn

เริ่มแรกเขาเรียนเทววิทยาตามความหวังของบิดาโดยเรียนที่ Halle Magdeburg Gymnasium ก่อนจะเข้าเรียนคณิตศาสตร์ กลศาสตร์ และปรัชญาธรรมชาติที่ academy ใน Jena

ด้วยอิทธิพลของ Georg Erhardt Hamberger (1697-1755) แพทย์ผู้มาเป็นนักคณิตศาสตร์โดยไม่ตั้งใจทำให้ Lieberkuehn หันไปศึกษาเคมี กายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยากับแพทย์ชาวเยอรมัน Hermann Friedrich Teichmeyer (1686-1744) และ Johann Adolph Wedel (1675-1747)

Lieberkuehn ออกจาก Jena ในปี ค.ศ. 1733 แล้วไปที่ Rostock เพื่อไปสมัครเป็นพระร่วมกับพี่ชาย แต่ Johann Gustav Reinbech (1683-1741) นักเทววิทยาชาวเยอรมันรับรู้ถึงทัศนคติด้านวิทยาศาสตร์ของเขาจึงพาไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ Friedrich Wilhelm I (1688-1740) ซึ่งทรงปลดปล่อยเขาจากอาชีพนี้เพื่อจะได้อุทิศเวลาทั้งหมดแก่วิทยาศาสตร์และการแพทย์ (บิดาของ Lieberkuehn เสียชีวิตในเวลาเดียวกันนั้นเอง)

เขากลับไปยัง Jena ในปี ค.ศ. 1735 และเดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมที่สถาบันอื่น ๆ ด้วยรวมถึง Imperial Natural Sciences Academy ใน Erfurt นอกจากนี้ยังไปเรียนแพทย์เพิ่มเติมที่ไลเดนภายใต้ Hermann Boerhaave (1668-1738), Bernard Siegfrid Albinus (1697-1770),Hieronymus David Gaubius (1705-1780) และ Gerard van Swieten (1700-1772) จนจบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งไลเดนในปี ค.ศ. 1739 จากนั้นไปอยู่กรุงลอนดอนไม่นานก่อนจะมาตั้งรกรากทำงานเป็นแพทย์ที่กรุงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1740

ค.ศ. 1740 เขาประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์แสงอาทิตย์ (solar microscope)

Marcello Malpighi (1628-1694) แพทย์ชาวอิตาลีค้นพบต่อมที่เยื่อบุของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1688 ต่อมา Lieberkuehn บรรยายละเอียดอีกครั้งในDe fabrica et actione vollorum intestinorum tenuium hominis” เมื่อปี ค.ศ. 1745 ปัจจุบันเรียกว่า Crypts of Lieberkuehn

เขาแต่งงานกับ Catherine Dorothy Neveling ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 2 คนเป็นบุตรชาย 1 คนและบุตรสาว 1 คน

เขาเสียชีวิตที่กรุงเบอร์ลินในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1756

Lieberkuehn ทำ specimen ด้านกายวิภาคศาสตร์ไว้มากมาย ค.ศ. 1765 พระราชินีแห่งรัสเซีย Catherine II (1762-1796) ได้รับ specimen เหล่านั้นจึงมอบให้ Russian Medical Military Academy จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน (เก่าแก่กว่า 250 ปีเลยนะครับ ว้าว!)

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(177) Kanavel's sign

Allen Buckner Kanavel (1874-1938)

เกิดวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1874 ที่เมือง Sedgwick รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรชายของ George W. Kanavel (พระนิกาย Methodist) กับ Mary Paugh Kanavel

เขาจบ Bachelor of Arts จากวิทยาลัย liberal arts มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นในปี ค.ศ. 1896 และจบแพทย์จากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นในปี ค.ศ. 1899 ด้วยเกียรตินิยมชั้น cum laude จากนั้นก็ไปใช้ชีวิตที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียนาน 6 เดือนก่อนจะกลับมาทำงานเป็น intern ที่โรงพยาบาล Cook County เมื่อจบในปี ค.ศ. 1902 ก็ได้รับตำแหน่งที่ภาควิชาศัลยศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น

ค.ศ. 1907 เขาแต่งงานกับ Olive Rosencranz ทั้งสองรับเด็กแฝดสามมาเลี้ยงชื่อ Richard, David และ Patricia

เขาสนใจในเรื่องการติดเชื้อที่มือและศึกษานานกว่า 12 ปีจนนำไปสู่การตีพิมพ์ตำราชื่อ Infections of the hand: a guide to the surgical treatment of acute and chronic suppurative processes in the fingers, hand and forearm ในปี ค.ศ. 1912 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การผ่าตัดของมือ ความรู้ในตำราเล่มนี้ใช้เป็นพื้นฐานมาจนถึงปัจจุบัน

Kanavel บรรยายอาการแสดงของ pyogenic flexor tenosynovitis (FT) ของมือ 4 อย่างที่รู้จักกันในชื่อ Kanavel’s sign ประกอบด้วย (1) นิ้วบวมโดยทั่วคล้ายไส้กรอก (sausage finger) (2) ในระยะพักนิ้วอยู่ในท่างอเล็กน้อย (3) กดเจ็บที่ flexor tendon และ (4) เจ็บที่เอ็นเวลาทำ passive extension

นอกจากนี้เขายังมีผลงานด้านประสาทศัลยศาสตร์ด้วยเช่นพัฒนาการผ่าตัด pituitary fossa ผ่านทางจมูก และการผ่าตัด trigeminal nerve เพื่อบรรเทาอาการ tic douloureux (trigeminal neuralgia)

ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาเข้าร่วมกองแพทย์ทหารบกทั้งที่กรุงวอชิงตัน ดีซี และที่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1918 หนึ่งปีต่อมาเขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น

เขาเป็นประธานหน่วยศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1920–1929

เขาเป็นผู้ก่อตั้งวิทยาศัลยแพทย์แห่งอเมริกันและเป็นประธานในปี ค.ศ. 1931-1932

เขาเป็นรองบรรณาธิการของวารสาร Surgery, Gynecology and Obstetrics ระหว่างปี ค.ศ. 1905–1935 และเป็นบรรณาธิการในเวลาต่อมา แต่น่าเสียดายเขาเสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุรถยนต์ขณะเดินทางไปตกปลาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1938 ที่เมือง Pasadena รัฐแคลิฟอร์เนีย (บุตรชายบุญธรรมสองคนคือ Richard กับ David ก็อยู่ในรถด้วยแต่โชคดีที่หนีทันจึงไม่ได้รับอันตราย)

ค.ศ. 1974 J. Michon จำแนกความรุนแรงของ flexor tenosynovitis (FT) ออกเป็น 3 ระดับเพื่อช่วยชี้แนะแนวทางการรักษาเรียกว่า Michon classification ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(176) Golden S sign


Ross Golden (1889-1975)

เกิดวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1889 ที่รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา
เกิดในครอบครัว Methodist minister
เป็นสมาชิกในทีมเบสบอลและฟุตบอลของ Manning High School ในไอโอวาโดยจบในปี ค.ศ. 1908
หลังจบแพทย์จากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดในปี ค.ศ. 1916 ก็เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ประเทศฝรั่งเศส
เป็นหนึ่งในแพทย์ประจำบ้านสาขารังสีวิทยารุ่นแรก ๆ ของโรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ในบอสตัน  หลังจบการเทรน ค.ศ. 1920 ก็ได้รับตำแหน่งที่ภาควิชารังสีวิทยาของโรงพยาบาล Presbyterian นิวยอร์กในโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  ต่อมา ค.ศ. 1922 ก็เป็นหัวหน้าภาควิชารังสีวิทยา
ค.ศ. 1925 เขาบรรยายผู้ป่วยห้ารายที่มีมะเร็งรุกรานหลอดลม  ภาพถ่ายรังสีทรวงอกท่า posteroanterior สองราย (เคสที่สามกับห้า) เนื้องอกอุดตันหลอดลมของปอดขวากลีบบนทำให้เกิดเงาเป็นเส้นโค้งที่ minor fissure ร่วมกับส่วนนูนของขอบเนื้องอกมองเห็นเป็นรูปตัว S กลับด้าน  จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้เลยและไม่รู้ว่าใครเป็นคนสังเกตคนแรกแต่อาการแสดงนี้ก็รู้จักกันในชื่อ reverse S sign of Golden หรือ Golden S sign
ค.ศ. 1927 เขาไปยังกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียเพื่อเรียนกับรังสีแพทย์ผู้มีชื่อเสียง  Leo George Rigler (1896–1979) รังสีแพทย์ชาวอเมริกันเจ้าของ Rigler's sign (double wall sign) ก็เรียนรุ่นเดียวกัน
ค.ศ. 1928 เขาไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการงานบริการรังสีวิทยาที่ศูนย์การแพทย์ Columbia-Presbyterian ใน Washington Heights ซึ่งพึ่งเปิดใหม่โดยได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์
มหาวิทยาลัยโคลัมเบียก่อตั้งภาควิชารังสีวิทยาขึ้นในปี ค.ศ. 1934  Golden เป็นหัวหน้าภาควิชาคนแรกและได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านรังสีวิทยา 
เขาได้รับตำแหน่งประธานวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งอเมริกันในปี ค.ศ. 1943 และเป็นประธานของสมาคมรังสี Roentgen แห่งอเมริกันในปี ค.ศ. 1945
เขาเกษียณจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ. 1954 จากนั้นก็ไปเป็น visiting professor ด้านรังสีวิทยาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแองเจลิส (University of California, Los Angeles: UCLA) เป็นเวลา 10 ปี  เพื่อเป็นเกียรติแด่ Golden เมื่อมีการสร้างห้องสมุดของภาควิชาจึงตั้งชื่อว่า Ross Golden Book Room
เขาเสียชีวิตที่ Laguna Hills รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อ 10 มกราคม ค.ศ. 1975 ตำแหน่งทางวิชาการสูงสุดคือศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านรังสีวิทยา

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

MMM(175) Father of immunopathology and modern clinical immunology

Henry George Kunkel (1916-1983)


เกิดวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1916 ที่เมืองบรุกลิน ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นบุตรชายของ Louis Otto Kunkel กับ Johanna Kunkel บิดาของเขาเป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงที่สถาบัน Rockefeller ส่วนมารดาเป็นนักปลูกพืชสวน ความชื่นชอบในด้านพฤกษศาสตร์และชีววิทยาของบิดามารดาจุดไฟด้านนี้ให้แก่เขา

เขาจบจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในปี ค.ศ. 1938 ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินและจบในปี ค.ศ. 1942

หลังจบแพทย์ก็เทรนต่อที่โรงพยาบาล Bellevue ในนครนิวยอร์กภายใต้ William S. Tillet ผู้เห็นแววด้านงานวิจัยในตัวเขา แต่เทรนได้สองปีก็ต้องเข้าร่วมกองทัพเรือในสงครามโลกครั้งที่สอง มีเหล่านาวิกโยธินหลายนายที่ป่วยเป็นตับอักเสบทำให้ Kunkel ได้ประสบการณ์ในการรักษาโรคนี้มากและเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเลยทีเดียว

เมื่อสิ้นสุดสงคราม ค.ศ. 1945 เขามาทำงานที่สถาบัน Rockefeller (เป็นมหาวิทยาลัย Rockefeller ในเวลาต่อมา) จากประสบการณ์ในกองทัพเรือจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลโปรแกรมโรคตับอักเสบจากการติดเชื้อของกองทัพเรือ โดยทำงานที่ห้องปฏิบัติการของ Charles L. Hoagland ในสถาบัน Rockefeller ซึ่งกำลังศึกษาโรคตับอักเสบจากการติดเชื้อ หนึ่งปีต่อมา Hoagland เสียชีวิตกระทันหัน Kunkel จึงต้องรับตำแหน่งหัวหน้าห้องปฏิบัติการต่อ

เขาได้รับตำแหน่ง assistant member (ผู้ช่วยศาสตราจารย์) ในปี ค.ศ. 1947 และเป็น associate member (รองศาสตราจารย์) ในปี ค.ศ. 1949

ค.ศ. 1949 เขาร่วมกับแพทย์ชาวอเมริกัน Edward H. “Pete” Ahrens, Jr. (1915-2000) บรรยายโรคตับแข็งที่พวกเขาตั้งชื่อว่า Primary biliary cirrhosis (PBC) ซึ่งศัพท์นี้ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากยังไม่ได้รับการเทรนด้านชีวเคมีอย่างเป็นทางการเพราะอาจารย์ที่ปรึกษา (Hoagland) เสียชีวิตไปก่อน ค.ศ. 1950 Kunkel จึงไปเทรนที่ห้องปฏิบัติการของนักชีวเคมีชาวสวีเดนผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี Arne Wilhelm Kaurin Tiselius (1902-1971) ใน Uppsala ประเทศสวีเดนเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนจะกลับมาทำงานต่อที่สถาบัน Rockefeller

ในการศึกษาโรคตับเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของโปรตีนในซีรัมผู้ป่วย ผู้ป่วยตับแข็งบางรายมีระดับแกมมาโกลบูลินในซีรัมสูงและสัมพันธ์กับเซลล์พลาสมาที่เพิ่มขึ้นในไขกระดูก แกมมาโกลบูลินที่สูงนี้พบในผู้ป่วยมะเร็งของเซลล์พลาสมา (multiple myeloma) ด้วย ค.ศ. 1951 เขาจึงเสนอว่าโปรตีนในซีรัมของผู้ป่วยมะเร็งของเซลล์พลาสมาแม้จะสร้างจากเซลล์มะเร็งแต่ที่จริงเป็นอิมมูโนโกลบูลินปกตินั่นเอง ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องทำให้การศึกษาอิมมูโนโกลบูลินสะดวกขึ้นทั้งในเรื่องโครงสร้างและยีนที่สร้าง

ค.ศ. 1952 เขาได้รับตำแหน่ง full member (ศาสตราจารย์)

ปลายทศวรรษ 1950 เขาเป็นคนแรกที่ค้นพบว่า Rheumatoid Factor (RF) เป็นแอนติบอดี 19S ที่ทำปฏิกิริยากับแกมมาโกลบูลิน 7S ซึ่งเป็นแอนติบอดีอีกชนิดหนึ่งกลายเป็นสารประกอบเชิงซ้อนล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดและทำให้เกิดพยาธิสภาพที่อวัยวะต่าง ๆ

ค.ศ. 1960 เขาเป็นบรรณาธิการของ Journal of Experimental Medicine จนกระทั่งเสียชีวิต

Stephanie Smith (1947-1969) ศิลปินชาวอเมริกันป่วยเป็นโรค Systemic lupus erythematosus (SLE) โดยอยู่ภายใต้ความดูแลของ Henry Kunkel และ Eng M. Tan ค.ศ. 1966 Kunkel และ Tan ค้นพบว่า Smith สร้างแอนติบอดีต่อโปรตีนในนิวเคลียสของเซลล์ตนเอง แอนติเจนดังกล่าวเรียกว่า Smith antigen (Sm Ag) แอนติบอดีต่อแอนติเจนนี้จึงมีชื่อว่า Anti-Sm antibody ซึ่งถูกใช้เป็นหนึ่งในเกณฑ์การวินิจฉัยโรค SLE

ค.ศ. 1975 Kunkel ได้รับรางวัลลาสเกอร์สาขาวิจัยพื้นฐานทางการแพทย์

ค.ศ. 1976 เขาได้รับตำแหน่ง Abby Rockefeller Mauzè Professor ของมหาวิทยาลัย Rockefeller

ภรรยาของเขา Betty เป็นครูสอนเล่นสเกต ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสามคน เป็นบุตรชายสองคนคือ Louis กับ Henry และบุตรสาวหนึ่งคนคือ Ellen

Kunkel เสียชีวิตที่ Mayo Clinic ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1983 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งพยาธิวิทยาภูมิคุ้มกันและวิทยาภูมิคุ้มกันคลินิกยุคใหม่ (Father of immunopathology and modern clinical immunology)

ค.ศ. 1990 กลุ่มอดีตนักเรียนของ Kunkel และผู้ร่วมงานร่วมกันก่อตั้งสมาคมเพื่อพัฒนาสาขาวิทยาภูมิคุ้มกันโดยตั้งชื่อว่า Henry Kunkel Society เพื่อเป็นเกียรติแด่ Kunkel

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(174) trifascicular nature of intraventricular cardiac conduction

Mauricio Bernado Rosenbaum (1926-2003)


เกิดวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1926 ใน Carlos Cesares กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา บิดามารดาของเขาเป็นผู้อพยพชาวรัสเซีย

เขาเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัย Cordoba ค.ศ. 1945 เขาและคณะจำแนก ventricular pre-excitation ออกเป็น type A และ B เรียกว่า Rosenbaum’s classification ซึ่งยังคงใช้ได้ในปัจจุบัน

เขาจบแพทย์จากมหาวิทยาลัย Cordoba ในปี ค.ศ. 1946 ได้ doctorate ในปี ค.ศ. 1951 จากนั้นก็เทรนด้านอายุรศาสตร์ที่ Cordoba Hospital Nacional de Clinicas ภายใต้ศาสตราจารย์ Jorge Orgaz และเทรนต่อด้านหทัยวิทยาที่โรงพยาบาล Ramos Mejia ภายใต้ศาสตราจารย์ Blas Moia

ค.ศ. 1952 - 1962 เขาอุทิศเวลาหลายปีศึกษาระบาดวิทยาของโรค Chagas ซึ่งมีความสำคัญในประเทศอาร์เจนตินา บทความของเขาชื่อ “Chagasic Myocardiopathy” ในวารสาร Progress in Cardiovascular Diseases เมื่อปี ค.ศ. 1964 ยังคงได้รับการอ้างอิงจนถึงปัจจุบัน ผลงานนี้นำไปสู่การรณรงค์ควบคุมโรค Chagas ในอาร์เจนตินาและละตินอเมริกา

ค.ศ. 1950 เขางงกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ของผู้ป่วยชายคนหนึ่งซึ่งเป็น anterior myocardial infarction with a right bundle branch block โดย ECG ขณะ sinus rhythm แสดงให้เห็นว่าเป็น left axis deviation ที่ -75 องศา แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาพบว่า ECG เป็น right axis deviation ที่ +110 องศา เขาจึงอธิบายง่าย ๆ ว่าเนื่องจากผู้ป่วยมี right bundle branch block ดังนั้น supraventricular impulses จะต้องเดินทางในหัวใจห้องล่างซ้ายได้สองทางซึ่งทางหนึ่งทำให้เกิด left axis deviation และอีกทางทำให้เกิด right axis deviation

ตอนนั้นเขาเข้าใจว่าเกิดจาก nodoventricular Mahaim fiber ที่ Ivan Mahaim (1897-1965) หทัยแพทย์ชาวเบลเยียมบรรยายไว้ในปี ค.ศ. 1932 ซึ่งเป็น fiber จาก AV node ไปยัง bundle branch หรือกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างโดยตรง (ไม่ผ่าน bundle of His) แต่เมื่อเจอผู้ป่วยแบบนี้อีกสามรายคือในปี ค.ศ. 1954, 1955 และ 1963 เขาจึงศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

นำไปสู่การปฏิวัติในปี ค.ศ. 1967 เขาเสนอว่าระบบนำไฟฟ้าในหัวใจห้องล่างไม่ได้มีแค่ 2 คือ right กับ left bundle branch อย่างที่เข้าใจกันแต่มีถึง 3 เส้นทาง (trifascicular nature of intraventricular cardiac conduction) โดยหัวใจห้องล่างขวามี 1 คือ right bundle branch ส่วน left bundle branch ของหัวใจห้องล่างซ้ายแยกย่อยได้ 2 ส่วนคือ anterior และ posterior divisions ต่างก็สามารถถูกยับยั้งได้เรียกว่า hemiblocks ซึ่งได้รับการยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้ (right bundle branch block ร่วมกับ anterior หรือ posterior hemiblock และมีอาการ syncope หรือ sudden cardiac death เรียกว่า Rosenbaum’s syndrome)

ค.ศ. 1954 เขาไปเป็น Research Associate ที่มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์มอนต์ภายใต้ Eugene Lepeschkin กับ Wilhelm Raab และในปี ค.ศ. 1969 ไปเป็น Visiting Professor ด้านหทัยวิทยาที่มหาวิทยาลัยแห่งเคนทักกีตามคำเชิญของ Boris Surawicz

ทศวรรษ 1970 งานวิจัยของ Rosenbaum และ Bramah Singh ทำให้ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ amiodarone เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในเวลาเดียวกันนั้น Rosenbaum ยังเสนอแนวคิดเรื่อง phase 3 และ phase 4 blocks อีกด้วย

เขาเป็นหัวหน้าหน่วยหทัยวิทยาที่โรงพยาบาล Salaberry ช่วงสั้น ๆ ก่อนจะมารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยหทัยวิทยาของโรงพยาบาล Ramos Mejia ในปี ค.ศ. 1973 จนกระทั่งเกษียณในปี ค.ศ. 1986 ตำแหน่งทางวิชาการสุดท้ายคือศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านอายุรศาสตร์ของมหาวิท ยาลัยบัวโนสไอเรส

เขาเสียชีวิตที่กรุงบัวโนสไอเรสในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2003

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(173) Hollenhorst plaque

Robert William Hollenhorst (1913-2008)


เกิดวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1913 ที่ St. Cloud รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา

เขาเรียนที่วิทยาลัย St. Cloud State Teachers, มหาวิทยาลัย St. John และโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตา โดยจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1941

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเขาทำงานในหน่วยแพทย์ทหารบกที่แปซิฟิค เมื่อสิ้นสุดสงคราม ค.ศ. 1946 ก็เริ่มปฏิบัติงานในฐานะจักษุแพทย์ที่ Mayo Clinic และเป็นศาสตราจารย์ด้านจักษุวิทยาที่ Mayo Graduate School of Medicine

ค.ศ. 1961 เขาบรรยายถึงก้อนไขมันคอเลสเตอรอลที่พบในหลอดเลือดแดงของจอประสาทตาซึ่งช่วยในการประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง อาการแสดงนี้เรียกว่า Hollenhorst plaque

เขาเกษียณในปี ค.ศ. 1979 และอาศัยอยู่แถวทะเลสาบ Brainerd

ค.ศ. 1982 เขาดำรงตำแหน่งประธานของสมาคมจักษุแพทย์อเมริกัน (American Ophthalmological Society) และได้รับเหรียญรางวัล Howe ในปี ค.ศ. 1986

เขาเป็นผู้ก่อตั้ง the Minnesota Pre-School Survey of Vision and Hearing และเป็นจักษุแพทย์ที่ปรึกษาของ Minnesota State Services for the Blind กว่า 30 ปี คุณความดีที่ทำต่อรัฐมายาวนานทำให้ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา Arne Carlson ประกาศให้วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1991 เป็น "Dr. Robert Hollenhorst Day."

ค.ศ. 1996 เขาย้ายกลับไปยังโรเชสเตอร์

เขาแต่งงานกับครูชื่อ Alice Cecelia Nolan (23 เม.ย. 1914 – 15 ธ.ค. 2007) ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 9 คน เป็นบุตรชาย 7 คนได้แก่ Robert William Hollenhorst, Jr., Michael J. Hollenhorst, John T. Hollenhorst, Mark Thomas Hollenhorst (1950-1993), James N. Hollenhorst , Thomas M. Hollenhorst และ Stephen Edward Hollenhorst (1956-2000) และบุตรสาว 2 คนคือ Mary E. Hollenhorst กับ Kathleen E. Hollenhorst

เขาเสียชีวิตที่บ้านในโรเชสเตอร์เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2008 (ภรรยาเสียชีวิตในเดือนก่อนหน้านั้น) ศพของเขาและภรรยาได้รับการฝังที่สุสานแห่งชาติ Fort Snelling ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008

บุตรชายคนแรก Robert William Hollenhorst, Jr. เป็นจักษุแพทย์เช่นกันและได้เรียนกับบิดาหลายเดือนตอนเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ Mayo

เอกสารอ้างอิง

http://www.aosonline.org/xactions/2008/08-taos-frontmatter.pdf

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(172) Father of osteosynthesis and Maitre of Belgian surgery

Albin Lambotte (1866-1955)


เกิดวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1866 ใกล้กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาเก้าคนของศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงบรัสเซลส์

พี่ชายของเขา Elie เป็นศัลยแพทย์หนุ่มและมีอิทธิพลต่อ Albin โดยเขาไปเป็น house officer ที่โรงพยาบาล Schaerbeck ชานเมืองบรัสเซลส์ซึ่งพี่ชายทำงานอยู่ น่าเสียดายที่ Elie เสียชีวิตก่อนวัยอันควรสร้างความสูญเสียครั้งใหญ่แก่ Albin

Albin ได้รับตำแหน่งที่โรงพยาบาล Stuyvenberg ใน Antwerp ประเทศเบลเยียมในปี ค.ศ. 1890 เขาจบแพทย์จาก Université libre de Bruxelles (ULB) ในปี ค.ศ. 1891 จากนั้นก็เป็น interne ที่โรงพยาบาล Stuyvenberg ปีนั้นเองเกิดอหิวาตกโรคระบาดเขาได้ทำ enterostomy ตามด้วยการล้างลำไส้ สองปีต่อมาเกิดโรคคอตีบระบาด เขาทำ tracheostomy ไป 72 รายซึ่งช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ถึง 60 ราย

ค.ศ. 1894 เขาประสบความสำเร็จในการทำ gastrectomy ครั้งแรกในชีวิต เป็นการเริ่มต้นเส้นทางสายศัลยศาสตร์อย่างเต็มตัว เขามีชื่อเสียงด้านศัลยศาสตร์ทั่วไปจนได้รับตำแหน่งหัวหน้าศัลยแพทย์ของโรงพยาบาล Stuyvenberg ต่อจาก Leon Desguin ในปี ค.ศ. 1900 อย่างไรก็ตามความสนใจหลักของเขาอยู่ที่การรักษากระดูกหัก

เขาบัญญัติศัพท์คำว่า “Osteosynthesis” และเริ่มทำ osteosynthesis ของกระดูก femur ในปี ค.ศ. 1902 นอกจากนี้ยังประดิษฐ์อุปกรณ์การแพทย์มากมายเช่น Lambotte osteotome, Lambotte’s gold-plated staples รวมถึง Lambotte bone holding forceps

ค.ศ. 1907 เขาตีพิมพ์ตำราเล่มแรกชื่อ “L’intervention operatoire dans les fracture” และเริ่มใช้คำว่า osteosynthesis ในหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรก

ค.ศ. 1913 เขาตีพิมพ์ตำราเล่มที่สองชื่อ “La chirurgie operatoire des fractures” ซึ่งเป็นตำราด้านการผ่าตัดรักษากระดูกหักคลาสสิกแต่ไม่เคยได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ

Albin Lambotte เสียชีวิตในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1955 ที่ Antwerp เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง Osteosynthesis และเป็นต้นแบบของศัลยศาสตร์แห่งเบลเยียม (Father of osteosynthesis and Maitre of Belgian surgery)

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MMM(171) Fredrickson classification of hyperlipidemia

Donald Don” Sharp Fredrickson (1924-2002)

เกิดวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1924 ที่ Canon City รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
บิดาของเขาเป็นทนายความ
เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งโคโลราโดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้หนึ่งปี  กองทัพก็ย้ายเขาไปที่มหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกนจนจบวิทยาศาสตร์บัณฑิตในปี ค.ศ. 1946 และจบแพทย์ในปี ค.. 1949
ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามเกิดเหตุการณ์สำคัญในชีวิต  เขาไป elective ที่ Ann Arbor ได้รู้จักกับวิสัญญีแพทย์ชาวดัตช์คนหนึ่งที่นั่น  ช่วงปิดภาคฤดูร้อนเขาวางแผนจะไปปั่นจักรยานเที่ยวยุโรปกับกลุ่มเพื่อนร่วมห้อง  แต่วิสัญญีแพทย์คนดังกล่าวพยาพยามเสนอให้เขาไปพบกับน้องสาวที่พึ่งเป็นหม้ายที่ประเทศเนเธอร์แลนด์  เขาไปตามที่แนะนำโดยตั้งใจว่าอยู่ไม่กี่วันแล้วค่อยตามไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน  เมื่อได้รู้จัก Henriette Priscilla Dorothea Eekhof บุตรสาวของหญิงหม้ายเขาก็ยกเลิกความคิดดังกล่าว  สองปีต่อมาเขาก็แต่งงานกับเธอและอยู่เคียงข้างกันจนวาระสุดท้ายของชีวิต (ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกันสองคนคือ Eric และ Ruric)
หลังจบแพทย์เขาไปเทรนด้านอายุรศาสตร์ภายใต้ George Widmer Thorn (1906-2004) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อชาวอเมริกันที่โรงพยาบาล Peter Bent Brigham (ปัจจุบันคือ Brigham and Women’s Hospital) ที่บอสตันระหว่างปี ค.ศ. 1949-1952  ก่อนจะไปใช้เวลาหนึ่งปีที่โรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ในห้องปฏิบัติการของ Ivan D. Frantz, Jr. (1916-2009) แพทย์ชาวอเมริกันผู้ศึกษาเรื่องคอเลสเตอรอล
กรกฎาคม ค.ศ. 1953 เขาย้ายไปทำงานที่ National Heart Institute (NHI) ใน Bethesda รัฐแมรีแลนด์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น National Heart, Lung and Blood Institute: NHLBI)  ใช้เวลาหลายปีที่ห้องปฏิบัติการของ Christian Boehmer Anfinsen, Jr. (1916–1995) นักชีวเคมีชาวอเมริกันทำให้ได้ความรู้ความชำนาญด้านชีวเคมีอย่างมากและเริ่มต้นศึกษาเรื่องเมตะบอลิซึมของคอเลสเตอรอลก่อนจะมาเน้นที่เรื่องไลโปโปรตีน (lipoproteins) ในพลาสมา [ต่อมา Anfinsen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี ค.ศ. 1972]
ค.ศ. 1960 เขาร่วมกับแพทย์ชาวอเมริกันอีกสองคนคือ John Bruton Stanbury (เกิด 15 พ.ค. 1915) และ James Barnes Wyngaarden (เกิด 19 ต.ค. 1924) ประพันธ์ตำราคลาสสิกชื่อ “The Metabolic Basis of Inherited Disease”  ทั้งสามร่วมกันเป็นบรรณาธิการอยู่ 23 ปีปรับปรุงจนถึงฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ก่อนจะเปลี่ยนบรรณาธิการใหม่พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อตำราเป็น “The Metabolic and Molecular Bases of Inherited Disease” โดยล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2001 มีทั้งหมด 4 เล่ม  ตำรานี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นไบเบิลของอณูเวชศาสตร์ (bible of molecular medicine) [ต่อมา Stanbury ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลสาขาการแพทย์ประจำปี ค.ศ. 1993]
ต้นทศวรรษ 1960 Fredrickson และเพื่อนร่วมงานค้นพบความผิดปกติของไขมันที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดใหม่ 2 โรค  โรคแรกคือ familial high-density lipoprotein (HDL) deficiency พวกเขาตั้งชื่อว่า Tangier disease (TD) ตามชื่อเกาะในอ่าว Chesapeake ซึ่งผู้ป่วยรายแรกอาศัยอยู่  ส่วนอีกโรคคือ cholesteryl ester storage disease (CESD)
ค.ศ. 1966 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไปของ NHI
ค.ศ. 1967 เขาร่วมกับแพทย์ชาวอเมริกัน Robert I. Levy (1937-2000) และ Robert S. Lees จำแนกความผิดปกติของไขมันออกเป็น 5 ชนิดตามลักษณะทางคลินิกและลำดับใน paper electrophoresis เรียกว่า Fredrickson classification หรือ Fredrickson-Levy-Lees classification ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว
ผลงานดังกล่าวนำไปสู่การก่อตั้ง Lipid Research Clinics Program (LRCP) ในปี ค.ศ. 1970 โดย Levy เป็นหัวหน้า  วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลกับโรคหัวใจ  Lipid Research Clinics Coronary Primary-Prevention Trial (LRC-CPPT) เป็นต้นแบบของความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ศูนย์วิจัยทางวิชาการ และบริษัทยา  เป็นงานวิจัยทางคลินิกแรกที่แสดงให้เห็นว่าการลดคอเลสเตอรอลสามารถลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด  นำไปสู่การก่อตั้ง National Cholesterol Education Program (NCEP) ในเวลาต่อมา
ค.ศ. 1972 เขาร่วมกับ Robert I. Levy และ William T. Friedewald คิดค้นสมการคำนวณ Low density lipoprotein (LDL) ที่ว่า LDL = Total cholesterol – High density lipoprotein – (Triglyceride/5) สมการนี้มีชื่อว่า Friedewald formula หรือ Friedewald-Levy-Fredrickson formula
ค.ศ. 1974 Fredrickson ออกจาก NHLBI ไปรับตำแหน่งประธานสถาบันการแพทย์ (Institute of Medicine) ของ National Academy of Sciences (NAS) ที่วอชิงตันดีซี  เก้าเดือนต่อมาก็ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการ National Institutes of Health (NIH)  เขาลาออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 1981 และไปเป็น Scholar-in-Residence ของ NAS อยู่สองปี
ค.ศ. 1983 เขาได้รับตำแหน่งรองประธาน Howard Hughes Medical Institute (HHMI) ซึ่งมีอดีตอาจารย์ที่ปรึกษา George Thorn เป็นประธานตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ที่สถาบันเริ่มก่อตั้ง  หนึ่งปีต่อมา Thorn ก็เกษียณและ Fredrickson รับตำแหน่งประธานต่อ
ค.ศ. 1987 เขาลาออกจาก HHMI แล้วย้ายไปอยู่ที่ National Library of Medicine (NLM) ในสังกัด NIH  นอกจากนี้ยังทำงานวิจัยและด้านคลินิกที่หน่วยงานเก่าคือ NHLBI  ผู้ป่วยที่คลินิกไขมัน (Lipid clinic) ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกรายหนึ่งคือมกุฎราชกุมารแห่งโมร็อกโกซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็น King Hassan II (1929-1999) ไว้วางพระทัยให้เขาเป็นแพทย์ประจำพระองค์ยาวนานกว่า 25 ปีจนกระทั่งพระองค์สวรรคต (Fredrickson และภรรยาได้รับเกียรติให้ไปร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพที่พระราชวังทุกปี)
  เขาเสียชีวิตที่สระว่ายน้ำส่วนตัวในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2002 โดยศพได้รับการฝังที่เมืองไลเดิน (Leiden) ประเทศเนเธอร์แลนด์  
Fredrickson ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งวิชาไขมันวิทยา (Founding father of lipidology)

เอกสารอ้างอิง
                Gotto AM, Jr. In memoriam Donald Sharp Fredrickson, MD 1924-2002. Circulation 2003;107:1714-6.
Friedewald WT, Levy RI, Fredrickson DS. Estimation of the Concentration of Low-Density Lipoprotein Cholesterol in Plasma, Without Use of the Preparative Centrifuge. Clin Chem 1972;18:499-50.
Fredrickson DS, Levy RI, Lees RS. Fat transport in lipoproteins-an integrated approach to mechanisms and disorders. N Engl J Med 1967;276(1):34-44.
Wong S, Al-Sarraf A, Ignaszewski A. Dr D. S. Fredrickson: Founding father of the field of lipidology. B C Med J 2012;7:336-40.
Wyngaarden JB. Donald Sharp Fredrickson. Proc Am Phil Soc 2004;148(3):383-91.