“หมอชีวกโกมารภัจจ์
บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ (แพทย์แผนไทย)”
ในสมัยพุทธกาล ณ
เมืองไพศาลีอันมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มีปราสาทถึง 7,707 หลัง เรือนยอด 7,707 หลัง สวนดอกไม้
7,707 แห่งและสระโบกขรณี 7,707 สระ
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเมืองเดียวที่มีหญิงงามเมืองจนได้ชื่อว่าเป็น
“นครโสเภณี” ตำแหน่งนี้ในสมัยนั้นเป็นตำแหน่งมีเกียรติเพราะพระราชาทรงแต่งตั้งโดยคัดสตรีที่มีเรือนร่างสะคราญตาที่สุด
ชำนาญฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรีอย่างดีเยี่ยม
พ่อค้าจากเมืองราชคฤห์จำนวนหนึ่งเดินไปค้าขายที่เมืองไพศาลีเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอุบายนำรายได้เข้าเมือง เมื่อกลับบ้านจึงเข้าเฝ้ากราบทูลให้พระเจ้าพิมพิสารทราบ พระองค์เห็นด้วยจึงทรงคัดเลือกหญิงงามเมืองบ้างจนในที่สุดได้แต่งตั้งสตรีวัยรุ่นนางหนึ่งชื่อ
“สาลวดี” ให้ดำรงตำแหน่งนี้
นางสาวลดีครองตำแหน่งนี้ไม่นานก็ตั้งครรภ์โดยบังเอิญ
นางจึงแสร้งทำเป็นป่วยและงดรับแขกชั่วคราวจนกระทั่งคลอดบุตรเป็นชาย
ตกดึกนางสั่งให้หญิงรับใช้คนสนิทเอาทารกน้อยใส่กระด้งไปทิ้งที่กองขยะนอกเมือง เดชะบุญกุศลบันดาลให้เจ้าฟ้าอภัยพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จผ่านมาพอดี เห็นฝูงแร้งการุมอยู่ที่กองขยะนั้น
เมื่อมีคนเดินมาใกล้ก็ฝูงแร้งกาก็พากันแตกฮือบินหนีไป
พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปดูว่าแร้งกามันรุมกินอะไร
มหาดเล็กวิ่งไปดูจึงได้ทราบว่ามีเด็กทารกเพศชายนอนอยู่ในกระด้งบนกองขยะ จึงตรัสถามว่า “ยังมีชีวิตอยู่ หรือตายแล้ว”
มหาดเล็กทูลตอบว่า “ยังมีชีวิตอยู่ พะยะค่ะ”
พระองค์ทรงเกิดความสงสารจึงทรงรับสั่งให้นำเข้าวังรับไว้เป็นโอรสบุญธรรม ทรงขนานนามทารกน้อยว่า
“ชีวกโกมารภัจจ์” มาจากคำว่า “ชีวโก (ยังมีชีวิตอยู่)” กับคำว่า “โกมารภัจจ์
(บุตรบุญธรรม)” หรือชื่อเรียกตามภาษาไทยว่า “บุญยัง”
ชีวกเป็นเด็กฉลาดสามารถเอาชนะลูกหลวงอื่นๆได้หมด เด็กในวังเจ็บใจที่แพ้จึงชอบล้อว่าเป็นลูกไม่มีพ่อแม่บ้าง
เป็นเด็กข้างถนนบ้าง
เพื่อเอาชนะคำดูหมิ่นเขาจึงมุมานะที่จะศึกษาหาความรู้เอาชนะลูกผู้ดีให้ได้
เขาตัดสินใจหนีออกจากวังไปยังเมืองตักกศิลาเพื่อเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แต่เนื่องจากไม่มีเงินจึงอาสารับใช้พระอาจารย์แทน
การเป็นคนขยันขันแข็ง
อ่อนน้อมถ่อมตนและตั้งใจเรียนอาจารย์จึงถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ทั้งหมด เรียนอยู่นาน 7
ปีจนรอบรู้แต่ไม่มีทีท่าว่าจะจบสักทีเริ่มคิดถึงคนทางบ้านจึงเข้าไปเรียนถามอาจารย์ว่าเมื่อไหร่จะถือว่าเรียนจบเสียที อาจารย์ตอบว่าตั้งใจจะให้เรียนต่ออีกปีสองปีจึงให้กลับแต่ถ้าอยากกลับแล้วจริงๆก็ตามใจ แต่ขอทดสอบความรู้ก่อนถ้าสอบผ่าจึงจะให้กลับ
โดยการสอบคือให้ชีวกสำรวจภายในรัศมี 400 เส้นดูว่าหญ้าชนิดไหน
ใบไม้เปลือกไม้ชนิดไหนใช้ทำยาไม่ได้ให้เก็บตัวอย่างมาให้ดู
ชีวกใช้เวลาสำรวจประมาณเจ็ดวันก็กลับมามือเปล่าเพราะต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นใช้ทำยาได้หมด
อาจารย์จึงบอกว่าเรียนจบหลักสูตรแพทย์แล้วให้กลับบ้านได้พร้อมมอบเงินจำนวนเล็กน้อยให้ใช้ระหว่างทาง
(ที่ให้น้อยเป็นอุบายเพื่อให้ได้ฝึกใช้วิชาความรู้หาเงินเพิ่มเอง)
เดินทางถึงเมืองสาเกตซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองตักกศิลากับเมืองราชคฤห์ เสบียงและเงินที่ติดตัวมาก็หมดเกลี้ยง
ขณะกำลังคิดหาทางออกอยู่พอดีก็ได้ยินคนพูดกันว่ามีเมียเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองป่วยเป็นโรคปวดศีรษะมา
7 ปีหมดเงินรักษาไปมากมายไม่หายเสียทีจนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ชีวกจึงขันอาสาปรุงยารักษาให้ ปรากฏว่าพอนัตถุ์ยาของหมอชีวกเพียงครั้งเดียวอาการของเมียเศรษฐีก็หายเป็นปลิดทิ้งจึงตบรางวัลให้เขาถึง
4,000 กหาปณะ (ราวหนึ่งหมื่นหกพันบาท)
ชื่อเสียงนำมาซึ่งงานมากมายเมื่อรวบรวมเงินได้เพียงพอแล้วชีวกก็เดินทางกลับเมืองมาตุภูมิทันที เมื่อถึงเมืองราชคฤห์ก็รีบเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเพื่อขอขมาที่หนีไปโดยไม่บอกกล่าว
เวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงประชวรด้วยโรค
“ภคันทลาพาธ (ริดสีดวงทวารหนัก)” แพทย์หลวงถวายพระโอสถขนาดใดๆก็ไม่หายขาด จึงทรงรับสั่งให้หมอชีวกเข้าเฝ้า หมอหนุ่มถวายโอสถเพียงสองสามครั้งก็ทรงหายขาดจากอาการ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพิมพิสารมากจึงทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นแพทย์หลวงพร้อมทั้งพระราชทานสวนมะม่วงให้ด้วย
ครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน
วัดแห่งแรกที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวาย
พระพุทธองค์เกิดเป็นโรคท้องผูกอย่างแรง
พระอานนทเถระจึงไปขอร้องให้หมอชีวกถวายการรักษาพระพุทธองค์ หมอชีวกรู้สึกปลาบปลื้มใจมากที่จะได้มีโอกาสถวายการรักษาพระพุทธองค์
เขาจึงหาก้านอุบลมาสามก้านแล้วนำมาอบยาไปถวายให้พระพุทธองค์ทรงสูดก้านละครั้ง
เมื่อทรงสูดยาที่ได้รับก็ทรงถ่ายพระบังคนหนัก (อุจจาระ) ออกเป็นปกติ หมอชีวกเลื่อมใสในพระพุทธองค์เป็นอย่างมากจึงกราบทูลถวายตัวเป็นคิลานุปัฏฐากของพระองค์ นอกจากนี้ยังถวายสวนมะม่วงให้เป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ด้วย
ชื่อเสียงของหมอชีวกแพร่สะพัดไปทั่วว่าเป็นหมอเทวดา
โด่งดังไปถึงเมืองอุชเชนี แคว้นอวันตีซึ่งอยู่ห่างไกลไปทางทิศตะวันตก
พระเจ้าจัณฑปัชโชต กษัตริย์ผู้โหดร้ายประชวรด้วยโรค “ปัณฑุโรค (ดีซ่าน)” จึงทรงส่งพระราชสาส์นไปยังพระเจ้าพิมพิสารขอตัวแพทย์หลวงไปถวายการรักษา
หมอชีวกถวายการรักษาจนหายแต่ก็เกือบถูกประหารชีวิตเพราะพระองค์ไม่ชอบเนยใสแต่ยาหมอชีวกจำเป็นต้องใส่เนยใส
ถึงกับสั่งคนออกตามล่าหมอชีวก แต่หมอชีวกก็เอาชีวิตรอดกลับมาได้ด้วยปัญญา
เมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชตหายประชวรแล้วทรงสำนึกในบุญคุณหมอชีวกจึงทรงส่งผ้ากัมพลหรือผ้าแพรเนื้อละเอียดอย่างดีสองผืนไปพระราชทานแก่หมอชีวกถึงกรุงราชคฤห์พร้อมกับมีพระราชสาส์นไปขอบพระทัยพระเจ้าพิมพิสารด้วย
หมอชีวกได้นำผ้าสองผืนนั้นไปถวายพระพุทธองค์
สมัยนั้นพระภิกษุห้ามรับผ้าสำเร็จจากคฤหัสถ์จะต้องหาเศษผ้าที่ชาวบ้านทิ้งแล้วมาเย็บจีวรเอง หมอชีวกวิงวอนจนพระพุทธองค์ทรงรับผ้ารวมถึงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้าสำเร็จที่ชาวบ้านถวายได้ตั้งแต่บัดนั้นมา
เหตุการณ์ระทึกขวัญไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อพระพุทธองค์ถูกพระเทวทัตลอบทำร้ายโดยกลิ้งหินบนยอดเขาคิชฌกูฏหมายจะให้ทับพระองค์
ด้วยเดชะพระบารมีก้อนหินนั้นกลิ้งลงปะทะง่อนผาเบื้องบนพระเศียรทำให้กระเด็นไปทางอื่น อย่างไรก็ตามสะเก็ดหินได้กระเด็นไปโดนพระบาททำให้ห้อพระโลหิต
พระสงฆ์สาวกช่วยกันหามพระพุทธองค์มายังสวนมะม่วงที่ประทับ ขณะรักษาคนไข้ในเมืองพอหมอชีวกทราบข่าวว่าพระพุทธองค์ถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บก็รีบไปยังสวนมะม่วงทันที
ได้ถวายการรักษาโดยชะล้างและพันแผลให้ก่อนจะทูลลาไปดูคนไข้ในเมืองต่อ
ตลอดชีวิตของหมอชีวกโกมารภัจจ์ได้บำเพ็ญแต่คุณงามความดี
ช่วยเหลือผู้ป่วยโดยไม่เลือกฐานะจนได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นเอตทัคคะในด้าน
"เป็นที่รักของปวงชน"
เอกสารอ้างอิง
เสฐียรพงษ์
วรรณปก. ชีวิตตัวอย่าง หมอชีวกโกมารภัจจ์
พระมหาสุนทร
สุนฺทรธฺมโม. ชาดกและประวัติพุทธสาวก-พุทธสาวิกา