Sir
Frederick Treves, 1st Baronet (1853-1923)
เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1853 ใน Dorchester, Dorset
ประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายของช่างทำเบาะ
William
Treves กับ Jane Treves (นามสกุลเดิมคือ Knight)
ตอนอายุ 7 ปีเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซึ่งบริหารโดยกวีชาวอังกฤษ
William
Barnes (1801-1886) จากนั้นก็เข้าเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียน Merchant
Taylors
ค.ศ. 1871
เรียนต่อที่ University College ก่อนจะเข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์โรงพยาบาลลอนดอนในปีนั้นเอง หลังเรียนจบเขาทำเวชปฏิบัติทั่วไปไม่นานก็กลับมาเป็น
house surgeon ที่โรงพยาบาลลอนดอนในปี ค.ศ. 1876
ค.ศ. 1877 แต่งงานกับ
Ann
Elizabeth Mason ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสองคน
ค.ศ. 1878 ได้รับ FRCS
ปีต่อมาก็ได้รับตำแหน่ง surgical registrar ที่โรงพยาบาลลอนดอน ต่อมาวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1879
ได้เป็นศัลยแพทย์ผู้ช่วย
ค.ศ. 1881
ได้รับตำแหน่ง Erasmus Wilson Professor ที่วิทยาลัยศัลยแพทย์
เขาบรรยายในหัวข้อ On the Scrofulous Affections of the Lymph Glands
ค.ศ. 1883
ได้รับรางวัล Jacksonian Prize จากวิทยานิพนธ์เรื่อง The
pathology, Diagnosis and Treatment of Obstruction of the Intestine in its
Various Forms in the Abdominal Cavity
ค.ศ. 1881 – 1884
เป็นผู้สาธิตด้านกายวิภาคศาสตร์
ช่วงนี้เองเขาได้รับการร้องขอให้ประพันธ์ตำรากายวิภาคศาสตร์สำหรับศัลยแพทย์ ใช้เวลาไม่กี่เดือน ค.ศ. 1883 เขาก็ตีพิมพ์ตำรา
Surgical Applied Anatomy เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1884 Tom
Norman (1860-1930) นักจัดแสดงชาวอังกฤษนำ Joseph Carrey
Merrick (1862-1890) ชายชาวอังกฤษผู้มีความผิดปกติของร่างกายจนได้ฉายาว่า
“Elephant Man (ครึ่งคนครึ่งช้าง)” มาจัดแสดงที่ร้านอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลลอนดอน
ลูกค้าที่มาชมก็คือบรรดาแพทย์และนักเรียนแพทย์นั่นเอง หนึ่งในนั้นคือ Treves ซึ่งได้เชิญให้
Merrick ไปตรวจร่างกายและบันทึกภาพไว้ที่โรงพยาบาล การนำคนมาจัดแสดงถูกประณามตำรวจจึงสั่งปิดร้านหลังแสดงได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ผู้จัดการคนใหม่พา Merrick ไปจัดแสดงที่อื่นในยุโรปจนกระทั่งปี ค.ศ. 1886 เขาถูกผู้จัดการขโมยเงินไปและทิ้งเขาไว้ที่กรุงบรัสเซลส์
ประเทศเบลเยียม เขาสื่อสารไม่ได้แต่สามารถหาทางกลับมายังกรุงลอนดอนได้ ตำรวจค้นตัวเจอป้ายชื่อ Frederick
Treves จึงติดต่อหา Treves ซึ่งก็มารับตัว Merrick
ไปพักที่โรงพยาบาลลอนดอนและให้อยู่จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1890
(ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเขาป่วยเป็น neurofibromatosis type I หรือ Proteus syndrome กันแน่)
ค.ศ. 1884 – 1893 Treves
เป็นผู้บรรยายด้านกายวิภาคศาสตร์ เขาไม่ได้เก่งเฉพาะกายวิภาคศาสตร์ช่องท้องของมนุษย์เท่านั้นแต่ยังศึกษาของสัตว์อื่น
ๆ เพื่อเปรียบเทียบด้วยโดยศึกษาจากสัตว์ที่ตายในสวนสัตว์ลอนดอน
ค.ศ. 1887 เขาบรรยายว่าด้านหน้าของ
mesoappendix จะมี fold ที่ฐานของไส้ติ่งไปเกาะด้านหน้าของส่วน
antimesenteric ของ terminal ileum มักจะไม่มีเลือดมาเลี้ยง สิ่งนี้รู้จักกันในชื่อ bloodless fold
of Treves
29 มิถุนายน ค.ศ. 1888 เขาทำการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก (appendectomy) เป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ
ค.ศ. 1893 – 1894
เป็นอาจารย์สอนศัลยศาสตร์การผ่าตัด
ค.ศ. 1893 – 1897
เป็นผู้บรรยายด้านศัลยศาสตร์
ค.ศ. 1898 เขาสร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลลอนดอนด้วยวัยเพียง
45 ปี
7 ธันวาคม ค.ศ. 1898
ได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์ที่ปรึกษา
ตุลาคม ค.ศ. 1899 เขาอาสาไปเป็นศัลยแพทย์ในสงคราม
Boer
War ครั้งที่สองโดยไปทำงานที่โรงพยาบาลสนามอยู่หลายเดือนก่อนจะกลับมายังกรุงลอนดอนในเดือนกรกฎาคม
ค.ศ. 1900
ค.ศ. 1900 Hetty บุตรสาวคนเล็กของเขาป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบแต่ศัลยแพทย์อีกสองคนคัดค้านการผ่าตัด ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจผ่าตัดแต่สายเกินไปจึงสูญเสียบุตรสาวคนเล็กจากไส้ติ่งอักเสบทะลุ
22 มกราคม ค.ศ. 1901
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (1819–1901) พระมหากษัตริย์อังกฤษที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
(62 ปี) สิ้นพระชนม์
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด (1841-1910) ทรงขึ้นครองราชย์ต่อ Treves ได้รับตำแหน่งศัลยแพทย์หลวงประจำพระองค์ในเดือนมีนาคมและได้รับบรรดาศักดิ์เป็น
Sir ในเดือนพฤษภาคมปีนั้นเอง
หนึ่งปีต่อมาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ดมีกำหนดการเข้าพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่
26
มิถุนายน ค.ศ. 1902 ที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster
Abbey) แต่แล้วสองสัปดาห์ก่อนถึงวันพิธีพระองค์เริ่มมีอาการปวดท้องน้อยด้านขวา Treves ถวายการตรวจรักษาในวันที่
18 มิถุนายนและมาดูอาการทุกวัน สรุปว่าประชวรเป็นไส้ติ่งอักเสบจึงถวายคำแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัด เนื่องจากสมัยนั้นการผ่าตัดช่องท้องยังมีอัตราการตายที่สูงอยู่พระองค์จึงปฏิเสธ วันที่ 24 มิถุนายนพระองค์ประชวรหนักขึ้นแต่ยังยืนกรานไม่ผ่าตัดว่า
“I must go to the Abbey”
สุดท้ายทนไม่ไหว Treves จึงยืนยันให้ผ่าตัดไม่เช่นนั้นพระองค์จะได้เข้าพิธีฝังศพแทนเป็นแน่แท้ว่า
“Then, Sire, you will go as a corpse.” พระองค์จึงยอมเข้ารับการผ่าตัด หลังการผ่าระบายฝีที่ไส้ติ่ง Treves ดูแลพระองค์แบบไม่หลับไม่นอน 7 วัน 7 คืนจนปลอดภัยดี พิธีบรมราชาภิเษกเลื่อนไปจัดในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1902 แทน ผลงานนี้ทำให้ Treves ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นบารอนเน็ตในปีนั้นเอง
ค.ศ. 1905 – 1908
เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแอเบอร์ดีน
ค.ศ. 1905 – 1912
เป็นประธานกรรมการสภากาชาดอังกฤษ
ค.ศ. 1913 แพทย์ชาวแคนาดา Sir
William Osler (1849-1919) ก่อตั้งและเป็นประธานคนแรกของหน่วยประวัติศาสตร์การแพทย์ใน
Royal Society of Medicine โดย Treves ได้รับตำแหน่งรองประธาน
ค.ศ. 1920 เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเสียชีวิตที่นั่นเมื่อวันที่
7 ธันวาคม ค.ศ. 1923 จากถุงน้ำดีและเยื่อบุช่องท้องอักเสบ พิธีศพจัดขึ้นที่วิหารเซนต์ปีเตอร์ใน Dorchester
วันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1924 โดยพระเจ้าจอร์จที่ห้า (1865-1936)
ทรงมอบหมายให้แพทย์หลวง Lord Edward Dawson (1864-1945) เป็นตัวแทนพระองค์มาร่วมในพิธี ศพของ Treves ถูกฝังอยู่ที่สุสาน
Dorchester นั่นเอง
หลังจากเขาเสียชีวิตศัลยแพทย์ชาวออสเตรเลีย Lambert
Charles Rogers (1897-1961) รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการตำรา Treves’
Surgical Applied Anatomy ต่อจนกระทั่งฉบับสุดท้ายคือฉบับพิมพ์ครั้งที่
14 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1962 นับเป็นเวลากว่า 80 ปีที่ตำรานี้ได้รับความนิยม
แต่หนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาเห็นจะเป็น
“The
Elephant Man and Other Reminiscence” ได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ.
1923 ซึ่งต่อมาถูกนำไปสร้างเป็นทั้งละครและภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง
เอกสารอ้างอิง
Gibbs DD. Sir
Frederick Treves: surgeon, author and medical historian. J R Soc Med 1992;85:565-9.
Miliras P, Skandalkis JE. Not
Just an Appendix: Sir Frederick Treves. Arch Dis Child 2003;88:549-53.
Ravin JG. Sir Frederick Treves
and Sympathetic Ophthalmia. Arch Ophthalmo 2004;122:99-103.