วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

MMM(197) Essex-Lopresti fracture


Peter Gordon Lawrence Essex-Lopresti (1916-1951)

เกิดในปี ค.ศ. 1916 ที่ประเทศอังกฤษ
เรียนแพทย์ที่โรงพยาบาลลอนดอนและจบในปี ค.ศ. 1937
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเขาเข้าร่วมในกองแพทย์ทหารบกหลวงโดยทำงานเป็นศัลยแพทย์ที่หน่วย airborne  เขารายงานการบาดเจ็บที่เกิดจากการโดดร่มมากกว่า 20,000 ครั้งของหน่วย Sixth British Airbone Division
หลังสิ้นสุดสงครามก็ไปเป็นศัลยแพทย์ที่ปรึกษาของโรงพยาบาลอุบัติเหตุเบอร์มิงแฮมและได้ปรับปรุงโปรแกรมการเทรนหลังจบปริญญาของที่นี่ 
เขาบรรยายผู้ป่วยที่มีการหักของ radial head ซึ่งเกิดร่วมกับการเคลื่อนที่ของ distal radio-ulnar joint  กระดูกหักชนิดนี้จึงเรียกว่า Essex-Lopresti Fracture (การหักของกระดูก radius ที่เกิดร่วมกับการเคลื่อนที่ของ distal radio-ulnar joint เรียกว่า Galeazzi Fracture) 
ค.ศ. 1951 เขาได้รับรางวัล Hunterian Professorship โดยบรรยาย Hunterian Lecture เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ในหัวข้อ “The Mechanism, Reduction Technique, and Results in Fractures of Os Calcis.
เขาคิดค้นวิธีรักษาการหักของกระดูก calcaneus ที่เรียกว่า Essex-Lopresti spike reduction และจำแนกการหักของกระดูก calcaneus ออกเป็น 2 ประเภทคือ extra-articular กับ intra-articular โดยประเภทหลังจำแนกย่อยเป็น type A: tongue type กับ type B: joint depression type  การจำแนกนี้มีชื่อว่า Essex Lopresti classification
เขาและภรรยามีบุตรด้วยกันสองคน  น่าเสียดายวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1951 เขาเสียชีวิตกะทันหันที่บ้านตัวเองด้วยวัยเพียง 35 ปี


เอกสารอ้างอิง
       Essex-Lopresti P. The mechanism, reduction technique, and results in fractures of the os calcis, 1951-52. Br J Surg 1952;39(157):395-419.
Mostofi SB. Who's who in orthopedics. Springer; 2005: 99-100.

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

MMM(196) Lovibond's angle & Schamroth's window test


John Locke “Jock” Lovibond (1907-1954)

เกิดวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1907 ที่ประเทศอังกฤษ
เป็นบุตรชายของพันตรี J. L. Lovibond
เรียนที่โรงเรียน Oundle และเคมบริดจ์  ต่อมาได้รับทุนเข้าเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาล Middlesex ในปี ค.ศ. 1929 และจบในปี ค.ศ. 1932  หลังจบแพทย์ก็เทรนต่อที่โรงพยาบาล Middlesex, Westminster และ Brompton
ค.ศ. 1935 เขาหันมาสนใจในด้านหทัยวิทยาจนได้รับสิทธิจาก Medical Research Council ให้ทำงานที่ Cardiographic Department ได้ตลอดเวลา  โครงการหลักคือวิจัยเรื่อง hydrothorax ใน heart failure (ผลงานที่เป็นวิทยานิพนธ์นี้ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Heart เมื่อปี ค.ศ. 1941)
ค.ศ. 1937 เขาได้รับตำแหน่ง Medical Registrar ที่โรงพยาบาล Middlesex ขณะเดียวกันก็เป็น Assistant Physician ที่โรงพยาบาล King George ใน Ilford อีกด้วย
ค.ศ. 1938 เขาบรรยายมุมระหว่างเล็บกับโคนเล็บว่าในคนปกติจะน้อยกว่า 160 องศา ถ้ามากกว่า 180 องศาจะเป็นนิ้วปุ้ม (clubbing of fingers)  อาการแสดงนี้เรียกว่า Lovibond’s angle หรือ Lovibond profile sign
ค.ศ. 1939 เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสมทบของ Cardiac Society
ด้วยความเป็นทหารอยู่ในสายเลือดเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเขาก็เข้าร่วมทำงานในกองทัพ  หลังสิ้นสุดสงครามเขากลับมาพร้อมยศพันเอก 
ค.ศ. 1947 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกถาวรของ Cardiac Society
เขาเกือบจะพลาดทุกตำแหน่งงานแต่ก็ไม่ยอมท้อถอยจนในที่สุด ค.ศ. 1948 ถึงได้รับตำแหน่งที่เวสต์มินสเตอร์
วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1952 เขาแต่งงานกับ Mary Cole-Hamilton (1913-?) บุตรสาวของ George William Cole-Hamilton (1875-1946) กับ Katherine Edith Clinton-Baker (?-1960)
เขาเสียชีวิตกะทันหันในวันที่ 4 พฤษภาคม .ศ. 1954 ตรงกับวันเกิดปีที่ 47 พอดี


Leo Schamroth (1924-1988)

เกิดวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1924 ที่ประเทศเบลเยียม โดยครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้ตั้งแต่เขายังเป็นทารก
ค.ศ. 1948 จบแพทย์จากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแห่ง Witwatersrand ในนครโจฮันเนสเบิร์ก
ค.ศ. 1956 ได้รับตำแหน่งสตาฟที่โรงพยาบาล Baragwanath
ค.ศ. 1957 เขาตีพิมพ์ตำรา “An Introduction to Electrocardiography” เป็นครั้งแรก  โดยหนังสือมีเพียง 90 หน้าแต่เข้าใจง่ายและชัดเจนจึงเป็นที่นิยมของนักศึกษา  ร่ำลือกันว่าตำรานี้เป็นหนังสือที่ถูกขโมยไปจากห้องสมุดการแพทย์บ่อยที่สุดในโลก
ค.ศ. 1971 เขาตีพิมพ์ตำรา “The Disorders of Cardiac Rhythm” เป็นครั้งแรก (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1980)
ค.ศ. 1972 เขาชอบสอนโดยสอนในทุกที่ทุกเวลาจนได้รับรางวัลครูต้นแบบจากวิทยาลัยหทัยแพทย์อเมริกัน  ปีเดียวกันนั้นเองยังได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ ประธานฝ่ายการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่ง Witwatersrand และหัวหน้าแพทย์ของโรงพยาบาล Baragwanath อีกด้วย (ครองตำแหน่งนี้จนกระทั่งเกษียณในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1987)
ค.ศ. 1972 เขาตีพิมพ์ตำรา “The Electrocardiology of Coronary Artery Disease” เป็นครั้งแรก (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1984)
ตัวเขาเองป่วยเป็น infective endocarditis จนเกิดนิ้วปุ้ม (clubbing of finger)  ค.ศ. 1976 เขาบรรยายการทดสอบนิ้วปุ้มโดยการหันด้านหลังของนิ้วเดียวกันในข้างซ้ายและข้างขวามาประกบกัน  ในคนปกติจะมี Lovibond’s angle น้อยกว่า 160 องศา จะทำให้เกิดช่องว่างรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเหมือนเพชร (diamond-shaped window)  แต่ถ้าเป็นนิ้วปุ้มจะไม่เกิดช่องว่างดังกล่าวเพราะ Lovibond’s angle มากกว่า 180 องศานั่นเอง  อาการแสดงนี้เรียกว่า Schamroth's window test
เขาไม่มีหน่วยหทัยวิทยาของตัวเอง ไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นหทัยแพทย์แต่เป็นเพียงแพทย์ทั่วไปที่สนใจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ  เขาหลงใหลในสิ่งนี้มากจนกล่าวว่า "Denying me a look at this ECG is like with holding insulin from a diabetic."
เขาแต่งงานกับ Renee และมีบุตรชายด้วยกัน 4 คน ทั้งหมดเป็นแพทย์และหนึ่งในนั้น เป็นหทัยแพทย์คือ C. Colin Schamroth
Leo Schamroth เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 ที่นครโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้
ค.ศ. 1989 ตำราขนาด 4 เล่มของเขา The 12 Lead Electrocardogram” ได้รับการตีพิมพ์  สำหรับตำรา “An Introduction to Electrocardiography” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1991 โดยมี C. Colin Schamroth บุตรชายของเขาเองเป็นผู้ประพันธ์  ล่าสุดฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8 ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2013 โดยใช้ชื่อว่า “LeoSchamroth An Introduction to Electrocardiography”

เอกสารอ้างอิง
Bedford DE. J. L. Lovibond. Heart 1954; 16(4):465-7.
Lovibond JL. Diagnosis of clubbed fingers. Lancet. 1938:363-4.
Schamroth L. Personal experience. S Afr Med J 1976; 50(9): 297–300.

Scott MR. Leo Schamroth: his contributions to clinical electrocardiography – with reference to: incomplete left budle-branch block. Cardiovasc J Afr 2009; 20(1):28-9.

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

MMM(195) Guedel's airway


Arthur Ernest Guedel (1883-1956)

เกิดวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1883 ที่เคมบริดจ์ซิตี้ อินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
                เข้าเรียนชั้นประถมและมัธยมต้นที่อินเดียนาโพลิส  เนื่องจากทางครอบครัวไม่สามารถส่งเสียให้เรียนต่อชั้นมัธยมปลายได้เขาจึงต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองภายใต้การชี้แนะจากอาจารย์มัธยมปลาย  แม้จะไม่ได้เรียนมัธยมปลายอย่างเป็นทางการแต่เขาก็สอบผ่านเข้าวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งอินเดียน่าได้ในปี ค.ศ. 1903
                เขาจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1908 ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  จากนั้นเป็น intern ที่โรงพยาบาลในอินเดียนาโพลิสเป็นเวลาหกเดือน  ช่วงเวลานี้เองเขาได้รับมอบหมายงานเป็นคนให้ยาดมสลบอีเธอร์และคลอโรฟอร์มจึงสนใจในด้านนี้  เขาเปิดคลินิกทำเวชปฏิบัติในปี ค.ศ. 1909 และรับงานด้านวิสัญญีวิทยาของโรงพยาบาลในอินเดียนาโพลิส
                ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาทำงานเป็นวิสัญญีแพทย์ในกองทัพอเมริกันที่ฝรั่งเศส  เนื่องจากต้องสอนพยาบาลให้ดมยาสลบอีเธอร์ได้เขาจึงพัฒนาแบบฟอร์มจำแนกระยะของการดมยาสลบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากการระงับความรู้สึกที่ลึกเกินไป 
หลังสิ้นสุดสงครามและหนึ่งปีในมินนีแอโพลิสเขาก็กลับไปทำงานด้านวิสัญญีวิทยาที่อินเดียนาโพลิสตามเดิม  เขาออกแบบ oropharyngeal airway ที่เรียกว่า Guedel airway และปรับปรุงท่อช่วยหายใจแบบมี cuff
ค.ศ. 1928 เขาย้ายไปยังแคลิฟอร์เนียไม่นานก็ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์คลินิกด้านวิสัญญีวิทยา ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Southern California  ขณะเดียวกันนั้นก็ทำเวชปฏิบัติส่วนตัวที่ลอสแอนเจลิสด้วย
ค.ศ. 1937 เขาปรับปรุงระบบจำแนกระยะของ general anesthesia เป็นสี่ระยะรู้จักกันในชื่อ Guedel's classification  ปีนั้นเองตำรา “Inhalation Anesthesia” ของเขาก็ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก
น่าเสียดายที่ต้องเกษียณก่อนเวลาเนื่องจากปัญหาเรื่องสุขภาพ  หลังเกษียณไม่นาน ค.ศ. 1941 เขาก็เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับเหรียญรางวัล Hickman Medal ของราชสมาคมแพทย์แห่งลอนดอน (รางวัลนี้มีการมอบทุก 3 ปี Guedel เป็นคนที่ 3 ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้)
เขาแต่งงานกับ Florence Dorothy Guedel ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสองคนคือ Marian Guedel Hart และ Gretchen Guedel Shuman ผู้เสียชีวิตด้วยวัย 26 ปีในปี ค.. 1940  ส่วนตัว Guedel เองเสียชีวิตในวันที่ 10 มิถุนายน ค.. 1956 ที่ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เพื่อรำลึกถึงเขา ค.ศ. 1963 วิสัญญีแพทย์กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งก่อตั้ง Arthur E. Guedel Memorial Anesthesia Center ขึ้นที่ห้องสมุดวิทยาศาสตร์สุขภาพของศูนย์การแพทย์แคลิฟอร์เนียแปซิฟิค  โดยชื่อของศูนย์ตั้งโดยนักเภสัชวิทยาชาวอเมริกัน Chauncey Depew Leake (1896–1978) ผู้ค้นพบฤทธิ์ทางวิสัญญีวิทยาของไวนิลอีเธอร์

เอกสารอ้างอิง




.