วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

MMM(153) Pioneer in colorectal surgery

David Henry Goodsall (1843-1906)


เกิดวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1843 ที่เมือง Gravesend ใน Kent ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรชายคนที่สองในบรรดาสี่คน

บิดาของเขาเป็นนักเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาล St. Bartholomew ขณะเรียนชันสูตรศพเกิดอุบัติเหตุจาก สตาฟทำให้เกิดบาดแผลที่มือและติดเชื้อในกระแสโลหิตจนเสียชีวิต

ตอนนั้นเขาเรียนอยู่ที่โรงเรียน St. Ann อายุ 14 ปีก็ไปเป็นเด็กฝึกงานของ Manley นักเคมีที่อยู่ใกล้ Aldgate กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ค.ศ. 1865 เพื่อชดเชยการเสียชีวิตของบิดา Goodsall ได้เข้าเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาล St. Bartholomew ฟรี

ค.ศ. 1868 เขาได้ M.R.C.S ค.ศ. 1870 ได้ L.R.C.P และเป็น house surgeon ที่โรงพยาบาล St. Mark

ค.ศ. 1871 เป็น assistant surgeon โดยเป็นผู้ช่วยของ Peter Yeames Gowlland (1825-1896) ศัลยแพทย์ไส้ตรง (rectal surgeon) ผู้มีชื่อเสียง

ค.ศ. 1872 ได้เป็น F.R.C.S ค.ศ. 1888 ได้เป็น full surgeon โดยสนใจในด้านศัลยกรรมลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (colorectal surgery)

ต้นทศวรรษ 1890 เขาแต่งงานและมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน

ค.ศ. 1892 เขาได้เป็น senior surgeon ที่โรงพยาบาล London Metropolitan และ ค.ศ. 1895 ได้รับอีกตำแหน่งที่โรงพยาบาล St. Saviour

ค.ศ. 1900 เขาร่วมกับ W. Ernest Miles ประพันธ์ตำรา “Diseases of the Anus and Rectum” ในบท “Anal fistula” เขาได้เขียนถึงกฎที่ปัจจุบันเรียกว่า Goodsall’s rule ไว้

ค.ศ. 1903 เขาเกษียณเนื่องจากอายุครบ 60 ปีแต่ยังคงทำเวชปฏิบัติต่อ

ตอนต้นปี ค.ศ. 1906 เขาป่วยด้วยโรคหัวใจแต่อาการดีขึ้นจึงทำงานได้ตามปกติ เช่นเดียวกับเช้าวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1906 ก็ไปผ่าตัดคนไข้ตามปกติที่โรงพยาบาล London Metropolitan วันนั้นเองเขาเสียชีวิตอย่างเฉียบพลัน (คาดว่าจากกล้ามเนื้อหัวใจตาย) ที่บ้านพักใน Devonshire Place กรุงลอนดอน ขณะบุตรชายอายุเพียง 7 ขวบ

Goodsall ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้านศัลยกรรมลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (Pioneer in colorectal surgery)

เอกสารอ้างอิง

http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2382381/pdf/brmedj08084-0072.pdf

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

MMM(152) Father of surgical anatomy of liver

Sir James Cantlie (1851-1926)


เกิดวันที่ 17 ม.ค. 1851 ที่ฟาร์มใน Keithmore, Dufftown, Banffshire ประเทศสกอตแลนด์

เขาเรียนที่ Botriphnie’s School และ Milne’s Institution จากนั้นก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแอเบอร์ดีน

เขาจบ MA ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในปี ค.ศ. 1871 แล้วก็เรียนต่อแพทย์ที่แอเบอร์ดีนได้หนึ่งปีก่อนจะย้ายไปยังโรงเรียนแพทย์โรงพยาบาล Charing Cross ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่สุดท้ายก็กลับมาแอเบอร์ดีนและจบ MB CM ในปี ค.ศ. 1873

หลังจบการศึกษาเขาก็ไปรับตำแหน่ง Instruction ด้านกายวิภาคศาสตร์ที่ Charing Cross และได้เป็น Demonstrator ด้านกายวิภาคศาสตร์ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872 - 1887) ต่อมาเขาก็เป็น house physician, house surgeon และ surgical registrar โดย ค.ศ. 1877 ได้เป็นผู้ช่วยศัลยแพทย์และได้รับเลือกเป็น FRCS

ปลายปี ค.ศ. 1877 เขาเป็น 1 ใน 12 แพทย์หนุ่มอาสาสมัครไปทำงานที่ประเทศอียิปต์โดยเป็นผู้ช่วยในการจัดการปัญหาระบาดของอหิวาตกโรคในผู้แสวงบุญที่มาจากเมืองเมกกะ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจในโรคเขตร้อน

ค.ศ. 1884 เขาแต่งงานกับ Mabel

ค.ศ. 1886 เขาได้ตำแหน่งศัลยแพทย์ที่ Charing Cross แต่ปีต่อมา ค.ศ. 1887 ก็ลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปรับงานที่ฮ่องกงตามคำเชิญของ Patrick Manson (1844-1922)

เขามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งวิทยาลัยแพทย์ฮ่องกงสำหรับนักศึกษาจีนที่โรงพยาบาล Alice Memorial และดำรงตำแหน่งคณบดีคนแรกนานถึง 7 ปี นักศึกษารุ่นแรกคือ Sun Yat-Sen (1866-1925)

ค.ศ. 1896 เขากลับไปกรุงลอนดอนเพื่อรับตำแหน่งประธานของกายวิภาคศาสตร์ประยุกต์ที่โรงพยาบาล Charing Cross จากนั้นไม่นาน Sun Yat-Sen ถูกลักพาตัวและคุมขังที่สถานฑูตจีนในกรุงลอนดอน Cantlie มีส่วนสำคัญในการปล่อยตัวเขาอย่างปลอดภัยจึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนับจากนั้น (ต่อมา Sun Yat-Sen ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของจีนในปี ค.ศ. 1911)

ค.ศ. 1897 จากการชันสูตรศพตับของผู้ป่วยด้านขวาฝ่อขณะที่ด้านซ้ายโต เขาสังเกตว่าเป็นผลจากแขนงหลอดเลือด portal ข้างขวาตีบตัน เขาจึงเสนอการแบ่งตับทางกายวิภาคศาสตร์ใหม่โดยให้รอยต่อของตับที่ฝ่อกับตับที่โตเป็นเส้นกึ่งกลางแบ่งตับออกเป็นกลีบขวากับซ้าย เขาตีพิมพ์บทความในปี ค.ศ. 1898 ชื่อ “A new arrangement of the right and left lobes of the liver. (J. Anat. Physiol 1898; 32:4-9) เส้นนี้อยู่ระหว่าง fundus ของถุงน้ำดีกับจุดศูนย์กลางของ Inferior vena cava ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Cantlie’s line เขายังเสนอว่าถ้าทำให้แขนงของหลอดเลือด portal ตีบตันเพื่อให้ตับซีกนั้นฝ่อจะมีประโยชน์ในการผ่าตัดตับ (แปดสิบกว่าปีต่อมาถึงมีการทำ pre-operative portal vein embolization ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982)

Cantlie กลับมายังกรุงลอนดอนพร้อมกับคำถาม 3 ข้อนั่นคือ ทำไมไม่มีโรงเรียนสอนเวชศาสตร์เขตร้อนก่อนส่งแพทย์ไปทำงานที่เขตร้อน? ทำไมในการประชุมประจำปีของสมาคมแพทย์อังกฤษไม่มีหัวข้อเรื่องเวชศาสตร์เขตร้อน? และสุดท้ายทำไมไม่มีวารสารด้านนี้ในกรุงลอนดอน?

ปี ค.ศ. 1898 ประสบความสำเร็จทั้งสามข้อ เขาช่วย Manson ก่อตั้งโรงเรียนเวชศาสตร์เขตร้อนลอนดอนที่โรงพยาบาล Albert Dock (เขาเป็นศัลยแพทย์คนแรกของโรงเรียนนี้และสนใจมากในเรื่องฝีที่ตับ), การประชุมของสมาคมแพทย์อังกฤษที่ Edinburgh จัดให้มีหัวข้อเวชศาสตร์เขตร้อนโดย Manson เป็นประธานอ่านโทรเลขเรื่องวงจรชีวิตของมาลาเรียสัตว์ปีกจาก Ronald Ross (1857-1932) แพทย์ชาวอังกฤษที่ทำงานวิจัยอยู่ในประเทศอินเดีย (การค้นพบนี้ทำให้ Ross ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี ค.ศ. 1902) และสุดท้ายเขาร่วมกับ W. J. Simpson (ต่อมาคือ Sir William Simpson) จัดทำวารสาร Journal of Tropical Medicine and Hygiene นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ก่อตั้งสภากาชาดอังกฤษอีกด้วย

วันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1907 เขาร่วมกับแพทย์ชาวอังกฤษ George Carmichael Low (1872-1952) ก่อตั้ง Society of Tropical Medicine and Hygiene โดย Manson ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมคนแรก (ผู้นำของ Royal Society of Medicine พยายามดึงสมาคมนี้มาเป็นหน่วยย่อยของตนแต่ล้มเหลวเพราะจากการลงมติในปี ค.ศ. 1913 สมาชิกไม่เห็นด้วย 216 ต่อ 60 เสียง)

ค.ศ. 1918 Cantlie ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir เขาดำรงตำแหน่งประธานของ Society of Tropical Medicine and Hygiene ระหว่างปี ค.ศ. 1921-1923 ช่วงนี้เองสมาคมได้ปรับเปลี่ยนเป็น Royal Society of Tropical Medicine and Hygiene

ภรรยาของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1921 ส่วนตัวเขาเองเสียชีวิตที่บ้านใน Dorset Square กรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1926 ศพของเขาถูกฝังที่สุสาน Cottered โบสถ์เซนต์จอห์นใน Buntingford, Hertfordshire

Cantlie ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของกายวิภาคศาสตร์ด้านศัลยกรรมของตับ (Father of surgical anatomy of liver)

เอกสารอ้างอิง

http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2524224/?page=1

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

MMM(151) Neisseria gonorrhoeae

Albert Ludwig Sigesmund Neisser (1885-1916)


เกิดวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1885 ที่เมือง Silesian ใน Schweidnitz ประเทศเยอรมนี (ปัจจุบันคือ Swidnica ประเทศโปแลนด์)

เป็นบุตรชายของ Moritz Neisser (1820-1896) แพทย์ชาวยิวผู้มีชื่อเสียง มารดาของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบจึงโตมากับแม่เลี้ยง

เขาเรียน Volksschule ที่ Muensterberg (ปัจจุบันคือ Ziebice) จากนั้นก็ศึกษาต่อที่โรงเรียน St. Maria Magdalena ในเมือง Breslau ประเทศเยอรมนี (ปัจจุบันคือ Wroclaw ประเทศโปแลนด์) โดยเรียนร่วมชั้นกับ Paul Ehrlich (1854–1915) แพทย์ชาวเยอรมันผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี ค.ศ. 1908

เขาจบชั้นมัธยมในปี ค.ศ. 1872 จากนั้นก็เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Breslau (มีไปฝึกงานชั้นคลินิกที่ Erlangen หนึ่งเทอม) โดยจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1877 ด้วยวิทยานิพนธ์เรื่อง echinococcosis ภายใต้แพทย์ชาวเยอรมัน Michael Anton Biermer (18 ต.ค. 1827 15 ต.ค. 1892)

ตอนแรกเขาตั้งใจจะเป็นอายุรแพทย์แต่หาที่คลินิกของ Biermer ไม่มีตำแหน่ง ด้วยความบังเอิญในที่สุดก็ได้งานเป็นผู้ช่วยของตจแพทย์ชาวเยอรมัน Oskar Simon (2 ม.ค. 1845 – 2 มี.ค. 1882) โดยเน้นไปที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับโรคเรื้อน (leprosy)

ค.ศ. 1879 แพทย์ชาวเยอรมันผู้นี้ค้นพบแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคหนองใน(gonorrhea) ซึ่ง Ehrlich เรียกว่า gonococcus (เพื่อเป็นเกียรติแก่ Neisser ค.ศ. 1885 Zopf ตั้งชื่อแบคทีเรียนี้ว่า Neisseria gonorrhoeae)

ค.ศ. 1879 เขาได้เดินทางไปศึกษาผู้ป่วยโรคเรื้อน 100 รายที่ Trondheim, Molde และ Bergen ในนอร์เวย์โดยย้อมสีสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยนำกลับมาศึกษาที่เยอรมนี หนึ่งปีต่อมา Neisser ก็ค้นพบว่าแบคทีเรีย Mycobacterium leprae เป็นสาเหตุของโรคเรื้อน[Gerhard Henrik Armauer Hansen (1841–1912) แพทย์ชาวนอร์เวย์เป็นผู้ค้นพบแบคทีเรียดังกล่าวในปี ค.ศ. 1873 แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นสาเหตุของโรคเรื้อน ทั้งสองขัดแย้งกันบ้างในเรื่องนี้แต่ท้ายที่สุดโรคเรื้อนก็ได้รับการตั้งชื่อว่า Hansen’s disease]

ค.ศ. 1880 เขาเป็นผู้บรรยายด้านตจวิทยาที่ Leipzig และเป็น privatdozent

ค.ศ. 1882 เขากลับไปรับตำแหน่ง professor extraordinarius ทางด้านตจวิทยาและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเป็นผู้อำนวยการภาควิชาตจวิทยาที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยแห่ง Breslau หนึ่งปีต่อมาเขาก็แต่งงานกับ Toni Kauffmann

ค.ศ. 1892 เขาเปิดคลินิกด้านตจวิทยาแห่งใหม่และกลายเป็นศูนย์วิจัยที่มีชื่อเสียง

งานวิจัยสำคัญอีกเรื่องคือซิฟิลิส เขาร่วมกับ Carl Bruck (1879-1944) ตจแพทย์ชาวเยอรมันและ August Paul von Wassermann (21 ก.พ. 1866 – 16 มี.ค. 1925) นักแบคทีเรียวิทยาชาวเยอรมันคิดค้นการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคซิฟิลิสด้วยเทคนิค Complement-fixation สำเร็จในปี ค.ศ. 1906 เรียกว่า Wassermann test หรือ Wassermann-Neisser-Bruck reaction ถือเป็นหนึ่งใน serodiagnostic test แรก ๆ ที่ใช้ในทางเวชปฏิบัติ (แต่ปัจจุบันไม่ใช้กันแล้ว)

ค.ศ. 1907 เขาเป็นตจแพทย์คนแรกที่ได้รับตำแหน่ง professor ordinarius ด้านตจวิทยาที่ Breslau

ค.ศ. 1913 เขาเสียใจมากกับการจากไปของภรรยา เขาเป็นเบาหวานและกระดูกต้นขาหักสุขภาพทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ต่อมาเขาเป็นนิ่วที่ไตและไปเอานิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะที่กรุงเบอร์ลินก่อนจะกลับมายัง Breslau แต่เกิดติดเชื้อในกระแสเลือดจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1916

Neisser ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของ gonococcus (Father of gonococcus)